บทความโดย สุธัช เจริญผล นายกสมาคมสร้างสรรค์ปัญญาประดิษฐ์ไทย (AICAT)
เพียงช่วงเวลาแค่ 3-4 ปีให้หลัง สังคมโลกได้พบเจอความตื่นตาตื่นใจอย่างไม่หยุดหย่อนจากเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ หรือ AI ที่พัฒนาอย่างก้าวกระโดด ไม่ว่าจะเป็นโมเดลการสร้างภาพจากข้อความ เปลี่ยนไอเดียในหัวให้กลายเป็นภาพเคลื่อนไหวที่สมจริง มาจนถึงระลอกล่าสุดอย่างการสร้างรูปคู่กับใครก็ได้ที่ปรารถนาในผลลัพธ์แบบกล้องโพราลอยด์ บทบาทของ AI ในโลกยุคใหม่ส่งผลต่อเหล่าศิลปินโดยตรงในฐานะนักสร้างสรรค์
เมื่อวันที่ 14 กรกฎาคม 2568 ที่ผ่านมา Google ร่วมกับ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยและสำนักงานพัฒนาธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ (สพธอ.) ได้จัดงาน AI Policy & Skilling Lab Thailand 2025 เพื่อเน้นย้ำจุดยืนที่มีต่อ AI ในฐานะ “เพื่อนคู่คิด” ติดจรวดไอเดีย ต่อยอดจินตนาการให้กลายเป็นความเป็นไปได้ที่ไม่รู้จบ โดยได้รับเกียรติจากผู้คร่ำหวอดจากทั้งแวดวงศิลปะแขนงต่าง ๆ อาทิ พิเชฐ กลั่นชื่น ศิลปินรางวัลศิลปาธร สาขาศิลปะการแสดง, ธัญญพงศ์ ใจคำ ชาวนาพาร์ทไทม์ เจ้าของผลงานศิลปะบนนาข้าวแมวกอดปลา, สุชาติ มาระลัมย์ ผู้ก่อตั้ง AISX: Asia Intelligence Synthesis, ธธารต ชูรัตน์ ผู้เชี่ยวชาญด้านเทคโนโลยีโมเดล 3 มิติ และดำเนินรายการโดยผม สุธัช เจริญผล นายกสมาคม AICAT และผู้ก่อตั้ง VulcanX บริษัทเทคโนโลยีที่มุ่งพัฒนาศักยภาพให้กับคนพิการทางสังคม ความประทับใจแรกสุดของผมคือผลงาน Cyber Subin โดยอาจารย์พิเชฐ กลั่นชื่น ที่นำท่วงท่ารำไทยมาผสมผสานกับการเรียนรู้ของ AI ราวกับการเปิดบทสนทนาระหว่างภูมิปัญญาไทยกับเทคโนโลยีสมัยใหม่ ภาพที่เห็นตรงหน้าไม่ใช่การแทนที่ หากแต่คือการต่อยอด ขยายพรมแดนการแสดงออกทางศิลปะ และสืบสานภูมิปัญญาดั้งเดิมในบริบทร่วมสมัย
ผมยังได้ฟังคุณธัญญพงศ์ ใจคำ ที่ใช้ AI ออกแบบแปลงนาเพื่อสร้างภาพศิลปะแมวกอดปลาจากต้นข้าว ผลงานที่จะเป็นไปไม่ได้เลยหากไม่มีเครื่องมืออย่าง Google Maps และระบบคำนวณที่ละเอียดอ่อนของ AI มาช่วย ซึ่งสะท้อนให้เห็นชัดเจนว่า AI ไม่ได้เป็นเพียงผู้ช่วย แต่เป็นเครื่องมือที่ทำให้ความฝันเล็ก ๆ สามารถกลายเป็นจริงได้
สำหรับผมในฐานะผู้ก่อตั้ง VulcanX สิ่งที่ใกล้หัวใจที่สุดคือการได้เห็นว่า AI เปิดโอกาสใหม่ ๆ ให้กับคนพิการที่ในอดีตแทบไม่มีทางเข้าถึงเครื่องมือสร้างสรรค์ได้เลย วันนี้ AI ช่วยปลดล็อกข้อจำกัดและทำให้พวกเขาสามารถแสดงศักยภาพได้ทัดเทียมหรือเหนือกว่าคนทั่วไป นี่คือสิ่งที่ยืนยันกับผมว่า AI ไม่ได้มาแทนที่มนุษย์ แต่เป็นสะพานที่ส่งให้มนุษย์ก้าวข้ามข้อจำกัดของตัวเอง
อย่างไรก็ตาม งานเสวนาครั้งนี้ไม่ได้หยุดแค่การโชว์เคสสร้างแรงบันดาลใจ เรายังได้พูดถึงคำถามสำคัญที่สังคมไทยต้องหาคำตอบร่วมกัน เช่น ใครคือเจ้าของผลงานที่สร้างโดย AI? เราจะคุ้มครองสิทธิของศิลปินและนักสร้างสรรค์ได้อย่างไร? ศิลปินผู้ร่วมเวทีเห็นพ้องกันว่า ประเทศไทยควรมีกรอบกฎหมายเฉพาะที่ปกป้องอัตลักษณ์และผู้สร้างงานในท้องถิ่น โดยไม่ใช่เพียงการหยิบแบบจากสหรัฐหรือยุโรปมาใช้ในทันที แต่ควรสร้างกติกาที่เหมาะกับบริบทของเราเอง
ประเด็นสุดท้ายที่ผมนับว่าเป็นนิมิตหมายที่ดีต่อบทสนทนาการใช้ AI ในสังคมไทยก็คือ การที่เวทีนี้ได้รับเกียรติจากทุกภาคส่วนเข้ามาร่วมแลกเปลี่ยนความคิดเห็นอย่างกระตือรือร้น ทั้งหมดทั้งมวลแสดงให้เห็นเจตนาที่ยอดเยี่ยมจาก Google ที่ต้องการสร้างพื้นที่เริ่มต้นสำหรับการสนทนาเชิงนโยบาย เพื่อสื่อสารไปสู่สาธารณะชนอย่างตรงเป้า ซึ่งในมุมมองของผม ประเทศไทยมีศักยภาพในการพัฒนาแนวทางที่สมดุลระหว่างนวัตกรรมกับการมีส่วนร่วมไปได้อีกไกล
ท้ายที่สุด คงยากที่ใครจะปฏิเสธได้ว่า เทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ หรือ AI กำลังจะกลายเป็น “ความปกติใหม่” และ เป็น “ตัวเร่งปฏิกิริยาใหม่” ของมนุษยชาติ เราคงจะต้องทำงานร่วมกันกับ AI มากยิ่งขึ้นในอนาคต ดังนั้นคำถามสุดท้ายจึงไม่ได้อยู่ที่ว่าเราจะใช้ AI หรือไม่ แต่อยู่ที่ว่า…
เราจะจับมือกันสร้างอนาคตที่ AI เป็นเครื่องมือสำหรับ “ทุกคน” ได้อย่างไร เพื่อให้แน่ใจว่าการก้าวกระโดดทางเทคโนโลยีครั้งนี้ จะเป็นการก้าวย่างที่มนุษยชาติทั้งหมดเดินไปข้างหน้าพร้อมกัน โดยไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง