AI จะแก้ปัญหาคอร์รัปชันในไทยได้จริงหรือไม่ สรุปข้อมูล งานเสวนา Corruption Disruptors

Corruption Disruptors

ต้องยอมรับว่า ปัญหาคอร์รัปชันฝังรากลึกในสังคมไทยมาอย่างยาวนาน และแม้จะมีความพยายามแก้ไขมาตลอดหลายทศวรรษ แต่ดูเหมือนว่าสถานการณ์ก็ยังไม่ดีขึ้นอย่างที่คาดหวัง

อย่างไรก็ตาม ท่ามกลางความท้าทายนี้ เทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ หรือ AI ได้กลายเป็นความหวังใหม่ที่อาจเข้ามาเป็นเครื่องมือสำคัญในการต่อสู้กับปัญหาดังกล่าว แต่คำถามสำคัญคือ AI จะสามารถแก้ปัญหาคอร์รัปชันในไทยได้จริงหรือไม่?

Techhub ได้มีโอกาสเข้าร่วมงานสัมนา Corruption Disruptors โดยบนเวที ได้มีการพูดถึงปัญหาของที่บ้านเรา อาจจะยังไม่สามารถแก้ปัญหา Corruption ได้ไม่สำเร็จ รวมถึงเคสกรณีตัวอย่างที่สนใจ

หัวใจของปัญหา ข้อมูลที่ไม่เปิด (Open Data)

อุปสรรคสำคัญที่สุดที่ขัดขวางการใช้ AI เพื่อต่อต้านคอร์รัปชันในประเทศไทย คือ การขาดข้อมูลภาครัฐที่เปิดเผยอย่างเป็นระบบ แม้ AI จะมีความสามารถในการวิเคราะห์ข้อมูลมหาศาลได้อย่างรวดเร็วและแม่นยำ แต่หากไม่มีวัตถุดิบ ซึ่งก็คือข้อมูลที่สะอาด ครบถ้วน และอยู่ในรูปแบบที่คอมพิวเตอร์อ่านได้ (Machine-Readable) AI ก็ไม่สามารถทำงานได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ

ปัจจุบัน ข้อมูลของหน่วยงานรัฐไทยกระจัดกระจายอยู่ตามหน่วยงานต่างๆ มากกว่า 25 แห่ง แต่ละแห่งมีรูปแบบการจัดเก็บและมาตรฐานที่แตกต่างกัน การเข้าถึงข้อมูลก็ทำได้ยากลำบาก ประชาชนหรือแม้แต่นักพัฒนาอาจต้องคลิกเข้าไปในเว็บไซต์หลายสิบลิงก์เพื่อค้นหาข้อมูลที่ต้องการ ซึ่งบางครั้งก็เป็นเพียงไฟล์ภาพหรือ PDF ที่ไม่สามารถนำไปประมวลผลต่อได้ง่ายๆ

สภาพเช่นนี้ทำให้การตรวจสอบเป็นไปได้ยาก และเป็นช่องโหว่ให้การทุจริตยังคงดำเนินต่อไปได้โดยไม่มีใครเห็นดังนั้น การจะปลดล็อกศักยภาพของ AI ได้นั้น ต้องเริ่มต้นจากการที่ทุกหน่วยงานรัฐต้องเปลี่ยนวิธีคิดและยอมรับหลักการ เปิดเผยเป็นหลัก ปกปิดเป็นข้อยกเว้น หรือ Open Data by Default สร้างมาตรฐานข้อมูลให้เป็นหนึ่งเดียวกัน และทำให้ข้อมูลเหล่านั้นอยู่ในรูปแบบที่พร้อมใช้งาน

กรณีศึกษาจากอินโดนีเซีย เมื่อ AI กลายเป็นเครื่องมือจับโกง

อินโดนีเซียเป็นหนึ่งในตัวอย่างที่น่าสนใจซึ่งประสบความสำเร็จในการนำ AI มาใช้ต่อต้านคอร์รัปชันอย่างเป็นรูปธรรม โดยคณะกรรมการปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (KPK) ของอินโดนีเซีย ได้นำ AI มาใช้ในหลายมิติ เช่น

– ตรวจสอบบัญชีทรัพย์สิน ใช้ AI ช่วยวิเคราะห์บัญชีทรัพย์สินของเจ้าหน้าที่รัฐกว่า 400,000 ฉบับ เพื่อตรวจจับรูปแบบที่ผิดปกติ เช่น การซุกซ่อนทรัพย์สิน หรือการเติบโตของทรัพย์สินที่ไม่สมเหตุสมผล ซึ่งช่วยให้เจ้าหน้าที่สามารถพุ่งเป้าไปที่กรณีที่มีความเสี่ยงสูงได้ จากเดิมที่สามารถตรวจสอบด้วยมนุษย์ได้เพียง 20%

– เชื่อมโยงเครือข่ายทุจริต โดย AI สามารถวิเคราะห์และเชื่อมโยงข้อมูลจากหลากหลายหน่วยงาน เช่น ข้อมูลที่ดิน ทะเบียนรถยนต์ และข้อมูลบริษัท เพื่อเปิดโปงเครือข่ายความสัมพันธ์ที่ซับซ้อนระหว่างเจ้าหน้าที่รัฐ บริษัทบังหน้า (Shell Company) และสมาชิกในครอบครัว ทำให้เห็นภาพความเชื่อมโยงที่ก่อนหน้านี้ไม่สามารถมองเห็นได้

– คาดการณ์ความเสี่ยง ซึ่งจากการวิเคราะห์ข้อมูลในอดีต AI สามารถช่วยคาดการณ์โครงการหรืองบประมาณที่มีความเสี่ยงต่อการคอร์รัปชันสูง ทำให้หน่วยงานสามารถทำงานเชิงรุกเพื่อป้องกันได้ก่อนที่ความเสียหายจะเกิดขึ้น

ความสำเร็จของอินโดนีเซียชี้ให้เห็นว่า หากมีโครงสร้างพื้นฐานด้านข้อมูลที่พร้อม AI จะกลายเป็นเครื่องมือที่ทรงพลังอย่างยิ่ง

AI ในบริบทไทย จากคดีกำนันนกถึงเครื่องออกกำลังกายราคาแพง

แม้ในไทยการใช้ AI ในภาครัฐอาจจะยังไม่แพร่หลายเท่าอินโดนีเซีย แต่ก็เริ่มมีกรณีที่แสดงให้เห็นถึงศักยภาพของมันเช่นกัน

กรณีคดีกำนันนก เป็นตัวอย่างที่ชัดเจน ตำรวจสอบสวนกลางมีการใช้ระบบ AI ในขั้นต้น เพื่อช่วยวิเคราะห์ข้อมูลการจัดซื้อจัดจ้างของกรมบัญชีกลาง และพบความผิดปกติในทันทีว่าบริษัทของกำนันนกชนะการประมูลโครงการภาครัฐจำนวนมากถึงกว่า 200 โครงการต่อปีในช่วง 5 ปีหลังสุด หรือเฉลี่ยเพียงวันครึ่งต่อหนึ่งโครงการ ตัวเลขที่น่าสงสัยนี้กลายเป็นจุดเริ่มต้นที่ทำให้หน่วยงานต่างๆ เช่น สรรพากร และ ปปง. เข้ามาร่วมตรวจสอบได้ง่ายและรวดเร็วขึ้น

ในขณะเดียวกัน ภาคประชาสังคมอย่างองค์กรต่อต้านคอร์รัปชัน (ประเทศไทย) หรือ ACT ก็ได้พัฒนาเครื่องมือ ACT Ai ขึ้นมา โดยดึงข้อมูลจากระบบจัดซื้อจัดจ้างภาครัฐ (e-GP) ซึ่งมีอยู่แล้วแต่ประชาชนเข้าถึงยาก มาจัดเรียงใหม่และใช้ AI ที่ตั้งเกณฑ์ (Rule-based) ในการตรวจสอบความผิดปกติเบื้องต้น เช่น

โครงการที่มีผู้เสนอราคาห่างกันไม่ถึง 1%, บริษัทที่มีกรรมการคนเดียวกันเข้าประมูลแข่งกัน หรือการตั้งราคาสูงกว่าปกติอย่างมาก กรณีการจัดซื้อลู่วิ่งและจักรยานออกกำลังกายราคาหลายแสนบาทของ กทม. ก็ถูกเปิดโปงและทำให้สังคมเห็นภาพความไม่ชอบมาพากลได้ง่ายขึ้นจากเครื่องมือลักษณะนี้

AI ไม่ใช่ไม้กายสิทธิ์ แต่เป็นเครื่องมือที่ทรงพลัง

ท้ายที่สุดแล้ว AI ไม่ใช่ไม้กายสิทธิ์ ที่จะเสกให้ปัญหาคอร์รัปชันหายไปได้ในพริบตา แต่มันคือ เครื่องมือ ที่จะเข้ามาช่วยให้การทำงานของภาครัฐโปร่งใส ตรวจสอบได้ และมีประสิทธิภาพมากขึ้น มันสามารถเปลี่ยนข้อมูลที่ซับซ้อนและกระจัดกระจายให้กลายเป็นหลักฐานที่มองเห็นและนำไปสู่การดำเนินการได้ (Visible & Actionable)

ความสำเร็จของการใช้ AI ในการต่อสู้กับคอร์รัปชันไม่ได้ขึ้นอยู่กับความฉลาดของเทคโนโลยีเพียงอย่างเดียว แต่ขึ้นอยู่กับความมุ่งมั่นทางการเมือง ความกล้าที่จะเปิดเผยข้อมูลของหน่วยงานรัฐ การสร้างธรรมาภิบาลข้อมูล (Data Governance) และการส่งเสริมให้ภาคประชาชนเข้ามามีส่วนร่วมในการตรวจสอบ หากเราสามารถสร้างระบบนิเวศเหล่านี้ให้เกิดขึ้นได้จริง AI ก็จะเป็นอาวุธสำคัญที่ช่วยให้สังคมไทยก้าวไปสู่การเป็นประเทศที่โปร่งใสและน่าเชื่อถือมากขึ้นได้อย่างแน่นอน

ที่มา
งานเสวนา Corruption Disruptors