เตือนภัย AI ทำเศรษฐกิจถดถอย มาแทนพนักงานออฟฟิศ

[ผู้เตือนภัย] จากใจซีอีโอเทครายหนึ่ง ที่เป็นผู้ใช้งาน AI อย่างเต็มตัว เผย Generative AI อาจก่อให้เกิดภาวะเศรษฐกิจถดถอย หลังเข้ามาแทนที่งานของมนุษย์..โดยเฉพาะเหล่าพนักงานออฟฟิศ

“ปริมาณมหาศาลของแรงงานกลุ่มนี้ กำลังจะถูกแทนที่ด้วย AI และจะนำไปสู่ภาวะเศรษฐกิจถดถอยในที่สุด”

Sebastian Siemiatkowski ซีอีโอของ Klarna บริษัทฟินเทค (Financial Technology) ยักษ์ใหญ่จากสวีเดน กล่าวเตือนทุกภาคส่วน ให้เตรียมรับมือกับ “ยุค AI” ให้ดี ๆ เพราะอาจทำให้คนจำนวนมากต้องตกงาน โดยเฉพาะกลุ่มคนที่ทำงานในออฟฟิศหรือ White-Collar ที่มีโอกาสถูก AI แทนที่สูง จนส่งผลให้เศรษฐกิจตกต่ำได้ในอนาคต

จากการสัมภาษณ์ในพอดแคสต์ The Times Tech ทาง Sebastian เผยมีหลายคนในอุตสาหกรรมเทคโนโลยี โดยเฉพาะบรรดาซีอีโอ มักจะมองข้ามผลกระทบของ AI ที่มีต่องาน จากการผลักดันให้มี AI แทนที่มนุษย์อย่างรวดเร็ว โดยไม่มีทีท่าว่าจะแผ่วลงเลย

“ผมไม่ต้องการเป็นหนึ่งในนั้น”

Sebastian เผยไม่เห็นด้วยกับเทรนด์ดังกล่าว และมองว่าผลกระทบในลักษณะนี้ มักจะนำไปสู่ภาวะเศรษฐกิจถดถอยอย่างน้อยในระยะสั้น และซีอีโอเหล่านั้นก็คงไม่ได้คิดถึงผลที่ตามดังกล่าวด้วย

“น่าเสียดายที่ผมเอง ก็มองไม่เห็นว่าจะหลีกเลี่ยงสิ่งนั้นได้อย่างไร”

Sebastian กล่าวอย่างปวดใจ พร้อมเผยข้อมูลอีกอย่างด้วยว่า ในเกือบทุก ๆ วันนั้น ตนเองได้รับอีเมลจากซีอีโอของบริษัทเทคโนโลยีหรือบริษัทขนาดใหญ่ ที่บอกเป็นเสียงเดียวกันว่า AI สร้างโอกาสในการทำงานให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น และอยากจะแลกเปลี่ยนข้อมูลกัน ซึ่งหากลองนำอีเมลทั้งหมดนั้นมารวมกัน แล้วนับจำนวนตำแหน่งงานที่อยู่ในอีเมลเหล่านั้น มันคงเป็นจำนวนที่มหาศาลมาก

อย่างไรก็ตาม Sebastian ก็มองด้วยว่าเป็นโอกาส เพราะหลังจากนี้ AI จะส่งผลให้หลายคนต้องเพิ่มทักษะให้สูงขึ้น โดยเฉพาะบางงานที่มนุษย์ยังคงได้รับการปกป้องอยู่ หรือ AI เข้ามาแทนที่ไม่ได้จริง ๆ

สำหรับที่มาที่ไปจริง ๆ ของการออกโรงเตือนครั้งนี้ ก็มาจากตัว Sebastian เอง โดยในปี 2023 ที่ผ่านมา ก็เคยนำ AI มาแทนที่ตำแหน่งงานของมนุษย์มาแล้ว จนมีการลดพนักงานของบริษัทลงเกือบครึ่ง จาก 3,800 คน เหลือเพียง 2,000 คน พร้อมยังกล่าวกับพนักงานที่เหลืออยู่ด้วยว่า จะต้องใช้ AI ทำอะไรให้ได้มากขึ้น ด้วยทรัพยากรที่น้อยลง

ในช่วงต้นปี 2024 ทาง Klarna ก็ได้นำแชทบอทมาให้บริการลูกค้าอย่างจริงจัง ซึ่งตัวแชทบอท AI ก็ช่วยให้บริการลูกค้าได้ถึง 2 ใน 3 ส่วน ภายในเดือนแรกของการใช้งาน และทำงานเทียบเท่ากับพนักงานได้ถึง 700 คน

ทว่าหลังจากนั้น Sebastian พบแชทบอท AI ที่เคยเข้ามาแทนที่มนุษย์ นั้น กลับให้คุณภาพต่ำกว่า และพบอีกว่าลูกค้าบริษัทจำนวนมาก ยังต้องการทางเลือกที่จะได้พูดคุยกับมนุษย์หากจำเป็น

ท้ายนี้ Sebastian ไม่ใช่ซีอีโอเพียงคนเดียวที่ออกมาส่งสัญญาณเตือนถึงเรื่องนี้ เมื่อเดือนที่แล้ว Dario Amodei ซีอีโอของบริษัท AI อย่าง Anthropic ก็กล่าวว่า AI อาจกำจัดงานระดับเริ่มต้น (entry-level) ของกลุ่ม white-collar ราวครึ่งหนึ่งภายใน 5 ปีข้างหน้า ซึ่งจะนำไปสู่การพุ่งขึ้นของอัตราการว่างงานถึง 20% ทั่วโลกเลยก็เป็นได้

ที่มา : Techspot