ปัญญาประดิษฐ์ กำลังก้าวเข้ามามีบทบาทในแวดวงสุขภาพจิตมากขึ้นเรื่อยๆ ครับ มีข้อมูลว่า ได้เข้ามาช่วยให้คำปรึกษาด้านสุขภาพจิตได้ในทุก ๆ เวลา แต่อย่างไรก็ตาม การเข้ามาของ AI ก็มาพร้อมกับคำถามสำคัญถึงความน่าเชื่อถือและขอบเขตในการทำหน้าที่แทนผู้เชี่ยวชาญที่เป็นมนุษย์
ปัจจุบัน AI สามารถเข้ามามีส่วนร่วมในการดูแลสุขภาพจิตได้หลากหลายรูปแบบ โดยอาศัยความสามารถในการประมวลผลข้อมูลจำนวนมหาศาล เช่น
1.แชทบอทให้คำปรึกษาเบื้องต้น ซึ่สามารถเป็นเพื่อนคุย รับฟังปัญหา และให้คำแนะนำเบื้องต้นได้ตลอด 24 ชั่วโมง ซึ่งช่วยลดช่องว่างสำหรับผู้ที่ไม่สะดวกใจที่จะพูดคุยกับคนจริงๆ หรือผู้ที่ต้องการการสนับสนุนในช่วงเวลาฉุกเฉิน
2.การประเมินและคัดกรองความเสี่ยง AI สามารถวิเคราะห์ข้อมูลจากการพูดคุย ข้อความ หรือแม้กระทั่งการแสดงออกทางสีหน้าและน้ำเสียง เพื่อประเมินความเสี่ยงของภาวะซึมเศร้า วิตกกังวล หรือปัญหาสุขภาพจิตอื่นๆ ได้อย่างรวดเร็ว
3.การบำบัดพฤติกรรมและความคิดผ่านระบบดิจิทัล ปัจจุบัน มีการพัฒนาแอปพลิเคชันที่ใช้ AI ในการนำเสนอโปรแกรมการบำบัดที่ออกแบบมาโดยเฉพาะสำหรับแต่ละบุคคล โดยอิงตามหลักการของ Cognitive Behavioral Therapy (CBT) ซึ่งเป็นแนวทางการบำบัดที่ได้รับการยอมรับอย่างกว้างขวาง
4.การวิเคราะห์ข้อมูลเพื่อการรักษาที่แม่นยำ AI สามารถวิเคราะห์ข้อมูลทางการแพทย์ ประวัติการรักษา และข้อมูลอื่นๆ เพื่อช่วยให้นักบำบัดหรือจิตแพทย์สามารถวางแผนการรักษาที่เหมาะสมกับผู้ป่วยแต่ละรายได้ดียิ่งขึ้น
แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น ความน่าเชื่อถือของ AI ในด้านสุขภาพจิตมีมากน้อยเพียงใด?
แม้ว่า AI จะมีศักยภาพที่น่าทึ่ง แต่ความน่าเชื่อถือยังคงเป็นประเด็นที่ต้องพิจารณาอย่างรอบคอบครับ
1.ขาดความเข้าใจในบริบทที่ซับซ้อน โดย AI ยังมีข้อจำกัดในการทำความเข้าใจความรู้สึกและบริบททางสังคมที่ซับซ้อนของมนุษย์ ซึ่งเป็นหัวใจสำคัญของการให้คำปรึกษา
2.ความเสี่ยงด้านความเป็นส่วนตัวของข้อมูล การใช้ AI ในการดูแลสุขภาพจิตจำเป็นต้องมีมาตรการรักษาความปลอดภัยของข้อมูลที่รัดกุม เพื่อป้องกันการรั่วไหลของข้อมูลที่ละเอียดอ่อน
3.อคติในอัลกอริทึม โดย หาก AI ถูกพัฒนาขึ้นจากข้อมูลที่ไม่หลากหลาย อาจนำไปสู่การให้คำแนะนำที่ไม่เหมาะสมหรือไม่เป็นธรรมกับคนบางกลุ่มได้
4.การตอบสนองในสถานการณ์ฉุกเฉิน ที่อาจทำได้ช้า ซึ่งการพึ่งพา AI เพียงอย่างเดียวในสถานการณ์วิกฤต เช่น ความคิดฆ่าตัวตาย อาจมีความเสี่ยงสูง เนื่องจาก AI อาจไม่สามารถประเมินสถานการณ์และให้ความช่วยเหลือได้อย่างเหมาะสมเท่ามนุษย์
5.ขาดการเชื่อมโยงทางอารมณ์ ความสัมพันธ์ระหว่างผู้ให้และผู้รับคำปรึกษาเป็นปัจจัยสำคัญที่ส่งผลต่อประสิทธิภาพของการบำบัด ซึ่งเป็นสิ่งที่ AI ยังไม่สามารถทดแทนได้อย่างสมบูรณ์
6.ความเสี่ยงที่มนุษย์ อาจลืมว่าคนที่คุยอยู่คือ AI ซึ่งเรื่องนี้มีความกังวลอย่างมาก เพราะล่าสุด มีข่าวว่า AI คุยกับผู้สูงอายุท่านนึง แล้วหลอกเค้าไปเจอ ซึ่งเป็นตัวตนที่ไม่มีอยู่จริง ทำให้เกิดข้อกังวลได้เช่นกัน
ต้องยอมรับว่า AI มีศักยภาพที่จะเป็นเครื่องมือสนับสนุนที่มีประสิทธิภาพในด้านสุขภาพจิต สามารถช่วยเพิ่มการเข้าถึงบริการและให้การดูแลเบื้องต้นได้เป็นอย่างดี แต่ในปัจจุบัน AI ยังไม่สามารถทำหน้าที่แทนผู้เชี่ยวชาญด้านสุขภาพจิตที่เป็นมนุษย์ได้อย่างสมบูรณ์
การนำ AI มาใช้ควรอยู่ในลักษณะของการทำงานร่วมกับผู้เชี่ยวชาญ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการดูแลรักษา และต้องมีการกำกับดูแลด้านจริยธรรมและความปลอดภัยอย่างเข้มงวด เพื่อให้ผู้ใช้งานได้รับประโยชน์สูงสุดและลดความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้น
ที่มา