วันนี้ Meta ประกาศเสริมสร้างความมุ่งมั่นในการยกระดับรักษาความปลอดภัยของผู้ใช้โดยการร่วมมือกับหลายองค์กรไทยที่ครอบคลุมการดำเนินงานในหลายภาคส่วน โดยเฉพาะสำนักงานตำรวจแห่งชาติโดยกองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง (CIB) เพื่อเสริมสร้างประสิทธิภาพการทำงานร่วมกันในประเทศ ด้วยการบูรณาการความรู้ความเชี่ยวชาญด้านเทคโนโลยี เพื่อต่อสู้กับปัญหาการฉ้อโกงและหลอกลวงบนโลกออนไลน์ โดยโครงการริเริ่มล่าสุดนี้ยังตอกย้ำถึงความมุ่งมั่นของ Meta ในการมอบประสบการณ์ออนไลน์ที่ปลอดภัย มั่นคง และมีประสบการณ์เชิงบวกให้กับผู้ใช้และชุมชนอย่างต่อเนื่อง
ภายในงานแถลงข่าวซึ่งจัดขึ้นภายใต้ความร่วมมือกับสำนักงานตำรวจแห่งชาติ Meta ได้แบ่งปันแนวทางการดำเนินงานที่ครอบคลุม ในการจัดการกับปัญหาการหลอกลวงบนโลกออนไลน์ที่มีการปรับเปลี่ยนกลโกงอยู่อย่างต่อเนื่อง รวมถึงมาตรการรักษาความปลอดภัยให้กับชุมชนออนไลน์ในประเทศไทย ซึ่งรวมถึงการลงทุนอย่างมีนัยสำคัญในการพัฒนาเทคโนโลยีและบุคลากรเพื่อตรวจจับและสกัดกั้นภัยคุกคาม การมอบชุดเครื่องมือและฟีเจอร์ใหม่ ๆ ที่มีความหลากหลาย เพื่อช่วยรักษาความปลอดภัยให้กับผู้คนที่ใช้งานแพลตฟอร์มของ Meta และการร่วมมือกับหน่วยงานและหน่วยงานบังคับใช้กฎหมายต่าง ๆ เพื่อปราบปรามมิจฉาชีพและกิจกรรมฉ้อโกงต่าง ๆ
แนวทางการดำเนินงานที่ครอบคลุม
ตั้งแต่ต้นปี 2567 ที่ผ่านมา Meta ได้ตรวจพบและลบบัญชี ที่มีความเกี่ยวข้องกับศูนย์รวมแก๊งมิจฉาชีพในเมียนมาร์ ลาว กัมพูชา สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ และฟิลิปปินส์ ไปแล้วเป็นจำนวนกว่าสองล้านบัญชี โดยความพยายามเหล่านี้มุ่งเป้าไปที่องค์กรอาชญากรรมที่อยู่เบื้องหลังแผนการที่พยายามหลอกลวงบุคคลผ่านแอปต่าง ๆ
Meta ใช้กลยุทธ์ในการต่อสู้กับปัญหาเหล่านี้ด้วยแนวทางการดำเนินงานแบบองค์รวม โดยให้ความสำคัญกับทั้งมาตรการเชิงรุกและการป้องกันเพื่อขัดขวางผู้ประสงค์ร้ายและปกป้องผู้ใช้ บริษัทได้ลงทุนอย่างมีนัยสำคัญในการพัฒนาเทคโนโลยีและทีมงานผู้เชี่ยวชาญในเรื่องนี้ โดยในปัจจุบัน Meta มีบุคลากรราว 40,000 คนที่ทำงานเกี่ยวกับปัญหาความปลอดภัยและความมั่นคงทั่วโลก โดยมีการลงทุนกว่า 30,000 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ในการพัฒนาทีมงานและเทคโนโลยีในด้านนี้ในช่วงทศวรรษที่ผ่านมา
สิ่งที่ Meta ให้ความสำคัญเป็นหลักในทำงานเพื่อลดผลกระทบจากภัยออนไลน์ ได้แก่:
- ยกระดับการป้องกันภัยบนแพลตฟอร์ม: ปกป้องแพลตฟอร์มจากภัยลวงออนไลน์
- ขัดขวางผู้กระทำผิด: เพิ่มขั้นตอนที่มีความยุ่งยากและค่าใช้จ่ายเพื่อไม่ให้มิจฉาชีพหลอกลวงผู้ใช้งานได้ง่าย
- ผนึกความร่วมมือ: ร่วมมือกับบริษัทเทคโนโลยี ธนาคาร และหน่วยงานบังคับใช้กฎหมาย
- มอบการดูแลความปลอดภัยให้ผู้ใช้งาน: ส่งมอบเครื่องมือ การควบคุมความปลอดภัยของตนเอง และให้ความรู้เพื่อป้องกันการฉ้อโกง
ภายในงาน คุณยิ่งยศ ลีชัยอนันต์ หัวหน้าฝ่ายนโยบายสาธารณะจาก Facebook (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวถึงความพยายามล่าสุดของ Meta ว่า “Meta ให้ความสำคัญสูงสุดกับความปลอดภัยและความมั่นคงของชุมชน เรามีความมุ่งมั่นที่จะจัดการกับปัญหาการหลอกลวงที่มีการปรับเปลี่ยนรูปแบบไปได้ตลอดเวลาในทุกแพลตฟอร์มของเรา และเราได้ทุ่มเทการลงทุน เพื่อยกระดับเทคโนโลยี ความร่วมมือ และการบังคับใช้กฎหมายเชิงรุกเพื่อก้าวนำหน้าผู้ไม่ประสงค์ดี โดยเรามุ่งหวังที่จะสร้างสภาพแวดล้อมออนไลน์ที่ปลอดภัยและอุ่นใจสำหรับทุกคน นอกจากนี้ยังพร้อมที่จะพัฒนากลยุทธ์ของเราอย่างต่อเนื่องรวมไปถึงทำงานร่วมกับพันธมิตรในอุตสาหกรรมและหน่วยงานบังคับใช้กฎหมายเพื่อปกป้องผู้ใช้และสร้างความไว้วางใจให้กับแพลตฟอร์มของเรา”
การลงทุนพัฒนาเทคโนโลยีผ่านความร่วมมือในประเทศไทย
พล.ต.ท.จิรภพ ภูริเดช ผู้บัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง กล่าวว่า “ปัญหาอาชญากรรม การหลอกลวงออนไลน์เป็นปัญหาระดับโลก ไม่ใช่แค่ในประเทศไทย อีกทั้งกลุ่มองค์กรอาชญากรรมที่ตั้งฐานปฏิบัติการตามชายแดนในเขตเศรษฐกิจพิเศษที่การบังคับใช้กฎหมายปกติเป็นไปได้ยากเพื่อพุ่งเป้าหลอกเหยื่อทั่วโลก รวมทั้งคนไทย โดยนับตั้งแต่ปี 2567 ที่ทางตำรวจสอบสวนกลางได้เข้ามาช่วยทำคดีอาชญากรรมทางออนไลน์ ได้มีการสืบสวนสอบสวนจับกุมแก๊งคอลเซ็นเตอร์จำนวนหลายแก๊ง และดำเนินการแสวงหาความร่วมมือเพื่อป้องกันเชิงรุกกับหน่วยงานต่างๆ รวมถึง Meta อย่างต่อเนื่องทั้งการแชร์ข้อมูลเพื่อร่วมกันทำการปราบปราม หรือการพิจารณานำฟีเจอร์เพื่อเพิ่มความปลอดภัยอื่นๆ มาใช้ในไทย”

ทั้งนี้ผู้บัญชาการตำรวจสอบสวนกลางได้ให้ข้อมูลเพิ่มเติมว่า ในปี 2568 ตั้งแต่ 1 ม.ค.-30 เม.ย. 68 มูลค่าความเสียหายจากปัญหาอาชญากรรมการหลอกลวงออนไลน์อยู่ที่ 7,600 ล้านบาท โดยแผนประทุษกรรมที่มีจำนวนผู้เสียหายเยอะลำดับหนึ่งคือ การซื้อขายสินค้าและบริการผ่านโลกออนไลน์และแพลตฟอร์มต่าง ๆ
ในงานแถลงข่าว ภายใต้ความร่วมมือกับตำรวจสอบสวนกลางนี้ Meta ได้เปิดตัวฟีเจอร์ด้านความปลอดภัยและความมั่นคงเพิ่มเติม ซึ่งรวมถึงการมอบเครื่องมือใหม่ ๆ แก่ผู้ใช้ในการตรวจจับบัญชีม้าร่วมกับกองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง และอำนวยความสะดวกให้สามารถรายงานกิจกรรมที่น่าสงสัยบนแพลตฟอร์มได้
ยิ่งไปกว่านั้น Meta ยังได้พัฒนาเครื่องมือต่าง ๆ เพื่อให้ผู้ใช้รักษาความปลอดภัยของบัญชีได้ง่ายขึ้น เช่น การยืนยันตัวตนสองขั้นตอน การแจ้งเตือนการเข้าสู่ระบบ และฟีเจอร์ Security Checkup สำหรับการอัปเดตการตั้งค่าความปลอดภัย นอกจากนี้ Meta ยังใช้เทคโนโลยีขั้นสูง รวมถึงการจดจำใบหน้า เพื่อป้องกันไม่ให้ผู้หลอกลวงใช้ภาพของบุคคลสาธารณะในโฆษณา ช่วยให้ผู้ใช้สามารถกู้คืนบัญชีที่ถูกแฮ็ก ไปจนถึงตรวจจับและลบบัญชีปลอมได้ อีกทั้งยังมีฟีเจอร์การสื่อสารอื่น ๆ เช่น Safer Message Requests บน Instagram ซึ่งกำหนดให้ผู้ใช้ต้องส่งคำเชิญให้กับผู้ใช้อีกรายที่ไม่ได้เป็นเพื่อนกันมาก่อน จึงจะสามารถส่งข้อความถึงกันได้ โดยจำกัดการสื่อสารครั้งแรกให้แชทได้เพียงข้อความเดียว นอกจากนี้ Meta ยังแจ้งเตือนผู้ใช้อย่างจริงจังให้มีความระมัดระวังเมื่อมีปฏิสัมพันธ์กับผู้คนที่ไม่รู้จักบน Instagram, Messenger และ WhatsApp
สำหรับภาคธุรกิจ Meta ได้พัฒนาเครื่องมือการรายงานบัญชีที่อาจมีความน่าสงสัยเพิ่มเติมเพื่อแก้ไขปัญหาเกี่ยวกับการฉ้อโกงและการหลอกลวงได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น ทั้งการปลอมแปลงตัวตนและการละเมิดทรัพย์สินทางปัญญา เครื่องมือเหล่านี้รวมไปถึง Brand Rights Protection เพื่อช่วยให้ธุรกิจสามารถค้นหาและตรวจสอบเนื้อหาที่อาจละเมิดทรัพย์สินทางปัญญาได้อย่างรวดเร็วและไม่ให้ผู้ประสงค์ร้ายนำทรัพย์สินทางปัญญาไปใช้ในทางที่ละเมิด
การเพิ่มประสิทธิภาพการตรวจจับและการบังคับใช้ด้วย AI
การลงทุนพัฒนาปัญญาประดิษฐ์ (AI) ของ Meta ได้ส่งเสริมความสามารถของทีมงานในการตรวจจับและจัดการเนื้อหาสแปมที่มีเป้าหมายฉ้อโกงทางการเงิน บัญชีปลอม และการหลอกลวงได้อย่างมีนัยสำคัญ ช่วยให้ Meta สามารถตอบสนองต่อภัยลวงได้อย่างรวดเร็วและรับมือกับปริมาณเนื้อหาในแต่ละวันได้ พร้อมเพิ่มการป้องกันเพิ่มเติมให้กับผู้ใช้
คุณยิ่งยศ ลีชัยอนันต์ หัวหน้าฝ่ายนโยบายสาธารณะ Facebook ประเทศไทย กล่าวเพิ่มเติมถึง ประสิทธิภาพของวิธีการที่ขับเคลื่อนด้วย AI นี้ว่า “เทคโนโลยีการตรวจจับของเราเป็นเครื่องมือที่ทรงพลังในการต่อสู้กับบัญชีปลอมและการหลอกลวง เราได้สกัดกั้นความพยายามในการสร้างบัญชีปลอมรวมไปถึงตรวจจับและนำบัญชีปลอมลงได้กว่าหลายล้านบัญชีในแต่ละวัน ภายในไม่กี่นาทีหลังจากมิจฉาชีพสร้างบัญชีเหล่านั้นขึ้น ในไตรมาสที่ 4 ปีพ.ศ. 2567 เราได้ดำเนินการกับบัญชีปลอมถึง 1,400 ล้านบัญชี โดย 99.9% ถูกลบก่อนจะมีการรายงานเข้ามา ระบบอัตโนมัติของเราทำงานตลอดเวลาเพื่อตรวจจับและลบบัญชีปลอม สแปม และโพสต์หลอกลวงในปีที่ผ่านมา เรายังได้ลบบัญชีกว่า 408,000 บัญชีที่เชื่อมโยงกับการหลอกให้หลงรัก (Romance Scam) รวมถึงลบเพจและบัญชีที่มีส่วนร่วมในการฉ้อโกงกว่า 116,000 รายการ”
นอกจากนี้ Meta ได้นำข้อกำหนดใหม่มาใช้ โดยให้ผู้ลงโฆษณารายใหม่ ต้องยืนยันหมายเลขโทรศัพท์ที่เชื่อมกับบัญชีโฆษณาก่อนที่จะมีการเผยแพร่โฆษณาใด ๆ เพื่อปกป้องชุมชนจากการหลอกลวงที่อาจเกิดขึ้น ผู้โฆษณาใหม่ในกรณีนี้หมายถึงผู้ที่ยังไม่มีบัญชีโฆษณา เป็นบัญชีที่มีอายุน้อยกว่า 90 วันและไม่มีการใช้งบประมาณการลงโฆษณา และไม่ได้เชื่อมโยงกับบัญชีธุรกิจที่ได้รับการจัดการหรือยืนยันก่อนหน้านี้
รวมพลังสร้างความเท่าทันเทคโนโลยีให้ผู้ใช้
Meta ได้ร่วมดำเนินงานอย่างใกล้ชิดกับพันธมิตรในประเทศไทยเพื่อแบ่งปันทั้งความเชี่ยวชาญและเทคโนโลยี และร่วมกันต่อต้านผู้หลอกลวง สอดคล้องกับความมุ่งมั่นของ Meta ในการร่วมสร้างระบบนิเวศทางดิจิทัลของประเทศไทยให้มีความปลอดภัยยิ่งขึ้น
ในปี 2568 Meta ได้ร่วมมือกับสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ของประเทศไทย (ก.ล.ต.) เพื่อจัดการฝึกอบรมร่วมเกี่ยวกับเครื่องมือปกป้องสิทธิ์แบรนด์ของ Meta เพื่อให้ความรู้แก่ผู้ประกอบธุรกิจ รวมถึงหน่วยงานในตลาดทุนและตลาดสินทรัพย์ดิจิทัล ซึ่งมีผู้เข้าร่วมกว่า 200 คน โดยมุ่งเน้นการเสริมสร้างการปกป้องธุรกิจและทรัพย์สินแบรนด์เพื่อปกป้องแบรนด์จากการแอบอ้างโดยมิจฉาชีพ
พร้อมกันนี้ยังมีความร่วมมือกับสำนักงานพัฒนาธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ (ETDA) ในการจัดโรดโชว์เพื่อส่งเสริมความปลอดภัยออนไลน์และการต่อสู้กับภัยลวงโดยมีการจัดกิจกรรมในกว่า 32 จังหวัดทั่วประเทศอย่างต่อเนื่องตั้งแต่ปี 2565 นอกจากนี้ Meta ยังได้เปิดตัวแคมเปญต่อต้านการหลอกลวง ‘Legit or Leg It’ ใน 7 ประเทศทั่วภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก โดยร่วมมือกับพันธมิตรในประเทศ รวมถึงกองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง และ ETDA ในประเทศไทย แคมเปญนี้ประกอบด้วยสื่อออนไลน์ที่จัดทำร่วมกับหน่วยงานภาครัฐในประเทศไทย และครีเอเตอร์ชาวไทยเพื่อให้ความรู้แก่ผู้ใช้อินเทอร์เน็ตเกี่ยวกับการหลอกลวงออนไลน์ทั่วไป รวมถึงวิธีการตรวจจับมิจฉาชีพออนไลน์ แคมเปญนี้ประสบความสำเร็จอย่างสูง โดยมีการเข้าถึง (Reach) ทั้งหมด 224 ล้านครั้งทั่วทั้งภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก โดยครีเอเตอร์ชาวไทยมีส่วนสร้างการเข้าถึงในแคมเปญนี้กว่า 18.3 ล้านครั้ง
นายมีธรรม ณ ระนอง รองผู้อำนวยการสำนักงานพัฒนาธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ หนึ่งในหน่วยงานพันธมิตรและผู้เข้าร่วมเสวนาภายในงานในหัวข้อ “สร้างอนาคตดิจิทัลที่ปลอดภัยยิ่งขึ้นสำหรับประเทศไทย” กล่าวว่า “ปัจจุบันประเทศไทยเข้าสู่ยุคดิจิทัล ทุกกิจกรรมขับเคลื่อนด้วยเทคโนโลยีและการทำธุรกรรมออนไลน์กันแทบทั้งสิ้น แน่นอนว่าสิ่งเหล่านี้ ช่วยอำนวยความสะดวก ให้เราสามารถดำเนินกิจกรรมต่างๆ ติดต่อสื่อสาร ทำงาน ตลอดจนทำธุรกิจได้รวดเร็ว แต่สิ่งที่ตามมา คือ ภัยหรือปัญหาที่แฝงมากับโลกออนไลน์ ไม่ว่าจะเป็นการฉ้อโกงและอาชญากรรมออนไลน์ ETDA มุ่งส่งเสริมให้คนไทยทำธุรกรรมออนไลน์ได้อย่างมั่นใจและปลอดภัย พร้อมเดินหน้าพัฒนาการดำเนินงานในหลายมิติ ตั้งแต่การกำกับดูแลแพลตฟอร์มดิจิทัล การรับแจ้งเรื่อง ส่งต่อเรื่องร้องเรียน และการสร้างความตระหนักรู้ เพื่อให้คนไทยรู้เท่าทัน รับมือเป็น การทำงานร่วมกับพาร์ทเนอร์ทั้งภาครัฐ ภาคเอกชนและภาคประชาสังคม ถือเป็นกลไกสำคัญที่ช่วยกันสร้างความแข็งแกร่งด้านทักษะ เสริมเกราะป้องกันภัยออนไลน์ ไม่ว่าจะเป็นกระบวนการส่งต่อเรื่องร้องเรียนร่วมกันผ่านศูนย์ช่วยเหลือและจัดการปัญหาออนไลน์ (1212 ETDA) เพื่อแก้ไขปัญหาภัยออนไลน์ให้ครอบคลุมมากสุด รวมถึงมุ่งเน้นการสร้างภูมิคุ้มกันให้คนไทยรู้ทันปัญหาออนไลน์ ร่วมลงพื้นที่ถ่ายทอดความรู้ในทุกมิติแก่ประชาชนมาแล้วกว่า 42 จังหวัดทั่วประเทศ แม้โลกดิจิทัลหมุนผ่านไปอย่างไร เราสามารถหมุนตามให้ทันได้ หากเราพัฒนาทักษะ องค์ความรู้ รู้จักใช้ดิจิทัลให้เกิดประโยชน์ ไม่เป็นภัย เชื่อว่าทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้องต่างพร้อมบูรณาการระดมความร่วมมือ พัฒนามาตรการเชิงรุกอย่างต่อเนื่อง ซึ่งเป็นตัวการสำคัญที่จะช่วยลดความสูญเสียของประชาชนจากภัยออนไลน์”
นางสาวอาชินี ปัทมะสุคนธ์ ผู้ช่วยเลขาธิการ ก.ล.ต. กล่าวเสริมว่า “ก.ล.ต. ให้ความสำคัญอย่างยิ่งกับการปกป้อง ผู้ลงทุนจากภัยคุกคามในโลกดิจิทัล โดยเฉพาะการหลอกลวงด้านการเงินการลงทุนที่มีความซับซ้อนและพัฒนาการของรูปแบบอย่างรวดเร็ว ซึ่งภารกิจดังกล่าวเป็นส่วนหนึ่งของแผนยุทธศาสตร์ขององค์กรปี 2568 – 2570 โดย ก.ล.ต. ได้ดำเนินการเชิงรุกในการส่งเสริมความรู้เท่าทันภัยการลงทุนผ่านความร่วมมือกับภาคีทั้งภาครัฐและ เอกชนเพื่อรับมือกับความท้าทายจากภัยคุกคามที่เกิดขึ้น รวมทั้งสนับสนุนการพัฒนากลไกที่จะช่วยธุรกิจและ หน่วยงานในตลาดทุนและตลาดสินทรัพย์ดิจิทัลในการปกป้องธุรกิจจากภัยคุกคามในโลกดิจิทัล นอกจากนี้ก.ล.ต. ยังให้ความสำคัญกับการบูรณาการข้อมูลเชิงลึกจากภาคเอกชนเพื่อใช้ในการเฝ้าระวังภัยการลงทุน การส่งเสริมการ ใช้เทคโนโลยีเพื่อคัดกรองข้อมูลที่อาจก่อให้เกิดความเสียหาย รวมถึงการสนับสนุนให้ประชาชนสามารถตัดสินใจด้านการลงทุนด้วยความรอบครอบและปลอดภัยยิ่งขึ้น ความร่วมมือระหว่าง ก.ล.ต. และ Meta ถือเป็นกลไกสำคัญในการยกระดับความมั่นคงทางการเงินและสร้างระบบนิเวศออนไลน์ที่ปลอดภัยและน่าเชื่อถือสำหรับคนไทย ซึ่งทั้งสององค์กรได้ทำงานเชิงรุกร่วมกันอย่างต่อเนื่อง”
ด้านพ.ต.ต. ธัญพีรสิษฐ์ จุลพิภพ หรือ “สารวัตรแจ๊ะ” จากกองบังคับการสืบสวนสอบสวน กองบัญชาการตำรวจนครบาล (IDMB) ผู้เข้าร่วมเสวนาได้กล่าวเสริมว่า “ปัญหามิจฉาชีพออนไลน์ โดยเฉพาะวิวัฒนาการของแก๊งคอลเซ็นเตอร์มีแนวโน้มที่จะเติบโตขึ้นอย่างรวดเร็ว จนเหมือนกับว่าแทบจะเป็นธุรกิจเฟรนไชน์ประเภทหนึ่งไปแล้ว ต้นตอของปัญหานี้ก็มีหลายอย่างเกี่ยวพันกันเป็นทอดๆ การแก้ปัญหาเหล่านี้ไม่ใช่จับได้ครั้งสองครั้งแล้วจะจบ มันเป็นเหมือนสงครามที่ต้องต่อสู้กับมันในทุกมิติ สิ่งสำคัญ ผมมองว่าคือ “ความร่วมมือ” ในทุกภาคส่วนไม่ว่ารัฐหรือเอกชน ทาง Meta เองส่วนสำคัญในการช่วยในทะลายสะพานโจรเหล่านี้ สิ่งที่เป็นรูปธรรม คือ กลุ่มหางานที่หลอกคนไปทำงานที่คอลเซ็นเตอร์ ถูกสืบสวนและเอาลงทั้งเครือข่าย ทำให้เกิดความคืบหน้าในการทำงานและสกัดกั้นกลุ่มอาชญากรรมเหล่านี้ได้มากขึ้น รวมถึงการเปลี่ยนแปลงในระดับนโยบายที่เข้มงวดมากขึ้นด้วยครับ”
เรียนรู้ข้อมูลเพิ่มเติม พร้อมคำแนะนำจากผู้เชี่ยวชาญเพื่อป้องกันการฉ้อโกงและหลอกลวง และรายงานกิจกรรมที่น่าสงสัยได้ที่ศูนย์ต่อต้านการหลอกลวงของ Meta ซึ่งมีให้บริการในภาษาไทยแล้วที่ https://about.meta.com/th/actions/safety/anti-scam/