ความกังวลว่าตลาด Generative AI อาจกำลังก่อตัวเป็นฟองสบู่ครั้งใหญ่ทวีความรุนแรงขึ้นในช่วงไม่กี่สัปดาห์ที่ผ่านมา ท่ามกลางการลงทุนมหาศาลในบริษัทเทคโนโลยีขนาดใหญ่ นักลงทุนจำนวนมากเริ่มตั้งคำถามว่า การลงทุน AI เหล่านี้จะสร้างผลตอบแทนที่แท้จริงได้เมื่อไหร่
ล่าสุด รายงานจากสถาบัน MIT ได้จุดชนวนความกังวลดังกล่าวให้ลุกลามไปทั่วตลาดหุ้นโลก หลังจากผลการศึกษาพบว่า มีบริษัทเกือบทั้งหมดที่นำ AI ไปใช้งาน แต่ยังไม่สามารถสร้างกำไรที่จับต้องได้จากเทคโนโลยีดังกล่าวเลย
รายงานฉบับนี้มีชื่อว่า “The GenAI Divide: State of AI in Business 2025” ซึ่งได้ทำการวิเคราะห์บริษัทกว่า 300 แห่ง และสัมภาษณ์ผู้บริหารอีก 150 คน ได้ข้อสรุปที่น่าตกใจว่า มีบริษัทเพียง 5% เท่านั้นที่นำ AI ไปใช้แล้วเห็นรายได้เติบโตอย่างรวดเร็ว ขณะที่อีก 95% ส่วนใหญ่ยังคงหยุดชะงักและไม่เห็นผลกำไรที่เพิ่มขึ้น
ผลจาก รายงาน MIT นี้ส่งผลกระทบต่อตลาดหุ้นทันที โดยหุ้นของบริษัทที่เกี่ยวข้องกับ AI โดยตรง เช่น Nvidia, Palantir, Arm, Oracle และ AMD ต่างปรับตัวลดลงถ้วนหน้า ฉุดให้ดัชนีสำคัญทั่วโลกดิ่งลง ไม่ว่าจะเป็น Nasdaq (-1.4%), S&P 500 (-0.7%) ในสหรัฐฯ รวมถึงตลาดหุ้นในยุโรปและเอเชีย
ทางรอดของธุรกิจ ซื้อดีกว่าสร้างจริงไหม ?
Aditya Challapally ผู้เขียนหลักของรายงานฉบับนี้กล่าวว่า บริษัทกลุ่มน้อยที่ประสบความสำเร็จมักมีลักษณะร่วมกัน คือการมุ่งเน้นพัฒนา AI ไปกับงานที่เชี่ยวชาญเฉพาะทาง และทำงานใกล้ชิดกับลูกค้า นอกจากนี้ยังพบว่าบริษัทที่เลือกซื้อโซลูชัน AI จากผู้ให้บริการเฉพาะทาง มีแนวโน้มจะประสบความสำเร็จมากกว่าบริษัทที่พยายามสร้างเครื่องมือ AI ของตัวเองขึ้นมา ซึ่งแตกต่างจากระบบ AI ทั่วไปอย่าง ChatGPT
เสียงเตือนจากวงใน ฟองสบู่ AI อาจรุนแรงกว่ายุคดอทคอม
ก่อนหน้านี้ Sam Altman, CEO ของ OpenAI ก็เคยออกมายอมรับว่าบริษัท AI ใหม่ๆ จำนวนมากกำลังสร้างความคาดหวังที่เกินจริง และเตือนว่าภาวะ ฟองสบู่ AI ที่เกิดขึ้นอาจนำไปสู่การขาดทุนครั้งประวัติศาสตร์เมื่อมันแตกออก สอดคล้องกับความเห็นของนักเศรษฐศาสตร์ที่มองว่ากระแส AI ในปัจจุบันถูกปั่นให้ร้อนแรงยิ่งกว่ายุคฟองสบู่ดอทคอมเสียอีก
บทวิเคราะห์ยังชี้ว่า กำไรที่แท้จริงในระบบนิเวศ AI ตอนนี้ยังคงกระจุกตัวอยู่ที่หุ้น Nvidia ซึ่งเป็นผู้ผลิตชิป GPU ที่เปรียบเสมือนพลั่วและเสียมในยุคตื่นทองของ AI ดังนั้น หากความต้องการชิปเหล่านี้สะดุดลง อาจส่งผลกระทบเป็นวงกว้างต่อตลาดหุ้นที่พึ่งพาหุ้นเทคโนโลยีเพียงไม่กี่ตัวเป็นอย่างมาก และนี่คือความเสี่ยงที่ทำให้นักลงทุนทั่วโลกกำลังจับตามองอย่างใกล้ชิด
ที่มา