ปัจจุบัน อุตสาหกรรมการบินกำลังถูกจับตามองอย่างหนักในฐานะผู้ปล่อยมลพิษรายใหญ่
วันนี้ Air New Zealand กำลังจะเปลี่ยนภาพจำนั้น ด้วยการเปิดรันเวย์ต้อนรับเทคโนโลยีแห่งอนาคต ทั้งเครื่องบินไฟฟ้า และเครื่องบินพลังงานไฮโดรเจน เพื่อมุ่งสู่เป้าหมายการบินที่ยั่งยืน
ALIA CX300 ฮีโร่ลำใหม่
พระเอกของงานนี้คือ ALIA CX300 เครื่องบินไฟฟ้าจาก BETA Technologies สหรัฐอเมริกา ที่ถูกนำมาใช้ในภารกิจขนส่งสินค้า โดยมีสเปกที่น่าสนใจคือ
1.ชาร์จไฟเพียง 90 นาที ด้วยแท่นชาร์จ 65 kW
2.บินได้ไกลถึง 250 ไมล์ (ประมาณ 400 กม.)
3.ออกแบบมาให้ใช้กับสนามบินเดิมได้ทันที ไม่ต้องสร้างใหม่
แม้จะดูเหมือนบินได้ไม่ไกลนักสำหรับมาตรฐานเครื่องบินพาณิชย์ แต่สำหรับภูมิประเทศของนิวซีแลนด์แล้ว ระยะทางเท่านี้ถือว่าเหลือเฟือครับ
ไฮโดรเจน อีกหนึ่งความหวังที่สนามบิน โดยนอกจาการบินด้วยไฟฟ้า ทางกลุ่มวิศวกรรมยังได้เริ่มทดสอบระบบเชื้อเพลิงไฮโดรเจนเหลว ที่สนามบินไครสต์เชิร์ช ทั้งระบบการผลิต จัดเก็บ และเติมเชื้อเพลิง เพื่อพิสูจน์ว่าเทคโนโลยีไฮโดรเจนไม่ใช่เรื่องเพ้อฝัน แต่พร้อมใช้งานจริงแล้วในสนามบินนานาชาติ
ต้องยอมรับว่า การขยับตัวของ Air New Zealand ครั้งนี้ไม่ได้เป็นแค่การ PR รักษ์โลกธรรมดา แต่มันคือ Proof of Concept ที่สำคัญมากครับ เพราะอะไร ?
ในมุมมองของ Techhub
แบตเตอรี่คือหัวใจ แม้ระยะทาง 400 กม. จะดูน้อย แต่ถ้าเทียบกับเทคโนโลยีแบตเตอรี่เมื่อ 5 ปีก่อน ถือว่าก้าวกระโดดมาก นี่คือจุดเริ่มต้นเหมือนตอนที่เราเห็นรถ EV รุ่นแรกๆ วิ่งได้แค่ 100 กม. อนาคตมันจะไปไกลกว่านี้แน่นอน
แต่สิ่งที่น่าสนใจกว่าตัวเครื่องบิน คือระบบ Eco-system ครับ การที่เขาทดสอบระบบเติมไฮโดรเจนในสนามบินจริง นี่คือเรื่องใหญ่ เพราะความยากของไฮโดรเจนไม่ใช่การสร้างเครื่องยนต์ แต่คือการจัดการเชื้อเพลิงที่ซับซ้อนและอันตราย
บ้านเราเองก็มีเที่ยวบินระยะสั้นเยอะมาก (เช่น กรุงเทพ-หัวหิน, เชียงใหม่-แม่ฮ่องสอน) หากโมเดลของนิวซีแลนด์สำเร็จ นี่อาจเป็นพิมพ์เขียวให้สายการบินในไทยนำมาปรับใช้ เพื่อลดต้นทุนเชื้อเพลิงและลดฝุ่น PM 2.5 ได้ในอนาคต
ที่มา
https://www.popsci.com/technology/electric-plane-test-new-zealand/








