ดราม่าเกิด ตำรวจใช้ DNA ระบุตัวคนร้าย ส่อละเมิดความเป็นส่วนตัว

DNA
ตอนนี้กำลังมีดราม่าพอสมควรที่สำนักงานตำรวจ Edmonton ได้เผยแพร่ภาพของผู้ต้องสงสัยที่พวกเขาสร้างขึ้นโดยใช้วิธี DNA phenotyping (เป็นการตรวจหา โดยใช้เพียงตัวอย่างหลัก ไม่จำเป็นต้องมีตัวอย่างอ้างอิง มักใช้ในการตรวจหาบุคคลนิรนาม) โดยหวังว่าจะใช้มันในการระบุตัวผู้ต้องสงสัยจากคดีล่วงละเมิดทางเพศได้ และยังอ้างอีกว่า วิธีนี้จะถูกใช้เป็นตัวเลือกสุดท้าย หากช่องทางการสืบสวนอื่น ๆ ไม่สามารถทำได้อีก
.
มองเผิน ๆ ก็เหมือนจะดีนะ เป็นเทคโนโลยีที่ล้ำหน้ามาก ๆ เพราะสามารถระบุตัวผู้ต้องสงสัยได้ใช้เพียงหลักฐานทาง DNA แต่เรื่องนี้กำลังเป็นประเด็นอย่างหนัก เพราะภาพที่พวกเขานำมาเผยแพร่ดันเป็นภาพของคนผิวสีครับ
.
ผู้เชี่ยวชาญด้านความเป็นส่วนตัวได้ให้ความเห็นว่า การเผยแพร่ภาพดังกล่าวเป็นอันตรายอย่างมาก ซึ่งจะทำให้เกิดคำถามเกี่ยวกับอคติทางเชื้อชาติ และมันได้ละเมิดความเป็นส่วนตัวอย่างเห็นได้ชัด (DNA ถือเป็นข้อมูลส่วนตัวตามกฏหมาย) ซึ่งปัจจุบัน กระบวนการยุติธรรมและระบบตำรวจนั้นเต็มไปด้วยอคติทางเชื้อชาติ คนผิวดำมีแนวโน้มที่จะถูกตำรวจเข้าจับกุมโดยปราศจากสาเหตุมากกว่าคนผิวขาวถึงห้าเท่า รวมทั้งยังมีโอกาสตกเป็นผู้ต้องสงสัยในคดีอาชญากรรม แม้ว่าจะไม่ได้เกิดอาชญากรรมขึ้นก็ตาม
.
ดังนั้นหากตำรวจใช้ DNA สร้างภาพผู้ต้องสงสัยขึ้น คอมพิวเตอร์จะสร้างภาพที่น่าจะเป็นเท่านั้น จะไม่สามารถรู้ได้ว่า อายุเท่าไหร่ น้ำหนักเท่าใด ทรงผมเป็นยังไง และรูปร่างหน้าตาใบหน้าอาจแตกต่างจากภาพที่สร้างขึ้นมา สรุปก็คือ มันแค่จะมีความคล้ายกับผู้ต้องหาจริง ๆ เท่านั้น นั่นเท่ากับว่า มันอาจจะคล้ายกับคนที่ไม่ใช่ผู้ต้องสงสัยด้วยเช่น และหากนำมาบวกกับอคติที่มีต่อคนผิวสีแล้ว อาจทำให้คนผิวสีที่บริสุทธิ์ ตกเป็นผู้ต้องสงสัย และอาจตกเป็นจำเลยสังคม หากภาพดังกล่าวถูกเผยแพร่ในสื่อครับ
.
เพื่อตอบสนองต่อคำวิพากษ์วิจารณ์ กรมตำรวจ Edmonton โดยได้ประกาศว่าได้ลบภาพดังกล่าวออกจากเว็บไซต์และโซเชียลมีเดียไปแล้ว แต่แน่นอนว่า มันอาจไม่ได้ทำให้คนรู้สึกดีขึ้นเท่าไหร่
.
จากเหตุการณ์นี้ ทำให้กรมตำรวจ Edmonton มีบทเรียนครั้งสำคัญ จากตอนแรกที่จะโชว์ว่าได้สร้างเทคโนโลยีที่สามารถระบุผู้ต้องสงสัยได้เร็วขึ้น กลับกลายเป็นการโดนกระแสตีกลับถึงเรื่องความเป็นส่วนตัวของข้อมูลและอคติทางเชื้อชาติ ซึ่งนี่อาจเป็นตัวอย่างของบริษัทเทคโนโลยีหลายแห่ง ที่ควรให้ความสำคัญกับข้อมูลส่วนตัวมากขึ้น โดยเฉพาะในประเทศที่ให้ความสำคัญกับกฏหมายคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลครับ
.
ที่มาข้อมูล