ธรรมาภิบาลข้อมูล แบบไทยๆ เมื่อกฎหมายหลายฉบับทำงานไม่สอดคล้องกัน แล้วประชาชนได้อะไร

ธรรมาภิบาลข้อมูล

ธรรมาภิบาลข้อมูลแบบไทยๆ เมื่อกฎหมายหลายฉบับทำงานไม่สอดคล้องกัน แล้วประชาชนได้อะไร

ในยุคที่ข้อมูลคือหัวใจของการพัฒนาประเทศ ไทยเรามีกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับข้อมูลผุดขึ้นมามากมาย ไม่ว่าจะเป็น พ.ร.บ.ข้อมูลข่าวสารของราชการ ที่บอกให้เปิดเป็นหลัก, พ.ร.บ.คุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล (PDPA) ที่เน้นการ “คุ้มครอง” หรือ พ.ร.บ.รัฐบาลดิจิทัล ที่มุ่งเชื่อมโยงข้อมูลแต่แทนที่จะทำงานสอดประสานกัน กฎหมายเหล่านี้กลับสร้างความสับสนอลหม่านจนน่าปวดหัว

Techhub ได้มีโอกาสไปร่วมงานเสวนาในหัวข้อ Forum on data government in Thailand : ความท้าทาย ช่องว่าง และโอกาศในบริบทระดับภูมิภาค ที่จัดโดย LIRNasia องค์กรวิจัยด้านนโยบายที่มุ่งเน้นการปฏิรูปกฎระเบียบและนโยบายเกี่ยวกับเทคโนโลยีดิจิทัลและโครงสร้างพื้นฐานในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก ในงาน ได้มีการเชิญนักวิจัยทั้งชาวไทยแต่ชาติ รวมถึงเจ้าหน้าจากหน่วยงานรัฐสำคัญอย่าง DEPA , DGA รวมถึง สำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล มาให้ข้อมูลต่าง ๆ ไว้อย่างน่าสนใจ ผมขอสรุปให้อ่านเข้าใจกันง่าย ๆ นะ

เริ่มจากหัวข้อที่น่าสนใจคือ PDPA คือแพะรับบาปในยุคดิจิทัลจริง ๆ หรอ ?  ภาพที่เกิดขึ้นคือ เจ้าหน้าที่รัฐเองก็งุนงง ไม่แน่ใจว่าข้อมูลไหนเปิดได้หรือไม่ได้ สุดท้ายเพื่อความปลอดภัย ก็เลือกที่จะไม่เปิดเผย ไว้ก่อนเพราะกลัวความรับผิดชอบที่อาจตามมา แล้วสุดท้าย คนที่เสียประโยชน์ก็คือประชาชนอย่างเราๆ ที่ต้องเผชิญกับความล่าช้าและบริการที่ไม่เชื่อมโยงกัน

เมื่อพูดถึงการขอข้อมูลแล้วถูกปฏิเสธ ชื่อของ PDPA มักจะถูกยกขึ้นมาเป็นข้ออ้างยอดฮิต จนหลายคนเข้าใจผิดว่ากฎหมายฉบับนี้คือตัวร้ายที่สั่งห้ามเปิดเผยข้อมูลทุกอย่าง แต่ความจริงแล้ว PDPA ไม่ใช่ผู้ร้าย แต่เป็นกฎหมายที่คนเข้าใจผิดมากที่สุด แล้วสุดท้าย คนที่เสียประโยชน์ก็คือประชาชนอย่างเราๆ ที่ต้องเผชิญกับความล่าช้าและบริการที่ไม่เชื่อมโยงกัน

หัวใจของ PDPA คือการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลก็จริง แต่ไม่ได้ห้ามการเปิดเผยข้อมูลโดยสิ้นเชิง การจะนำข้อมูลไปใช้ต้องมี ฐานทางกฎหมายรองรับ ซึ่งความยินยอมจากเจ้าของข้อมูลเป็นเพียงหนึ่งในฐานกฎหมาย และควรเป็นทางเลือกสุดท้ายด้วยซ้ำ ซึ่งในบริบทของภาครัฐ ยังมีฐานกฎหมายอื่นที่สำคัญกว่า เช่น

การปฏิบัติภารกิจของรัฐ (Public Task) หากการเปิดเผยข้อมูลนั้นจำเป็นต่องานของหน่วยงานรัฐ ก็สามารถทำได้
ประโยชน์สาธารณะ (Public Interest) หากข้อมูลนั้นเป็นประโยชน์ต่อส่วนรวม ก็สามารถเปิดเผยได้

ปัญหาคือ เจ้าหน้าที่จำนวนมากยังขาดความเข้าใจที่ถูกต้อง และคำว่าประโยชน์สาธารณะก็ยังคลุมเครือ ทำให้เกิดความกลัวและใช้ PDPA เป็นเกราะป้องกันตัวในการไม่ให้ข้อมูล กลายเป็นว่ากฎหมายที่ตั้งใจดีกลับสร้างอุปสรรคให้กับการสร้างความโปร่งใสไปเสียเอง

แล้วประชาชนได้อะไร? ผลกระทบที่จับต้องได้

ความสับสนและการทำงานที่ไม่สอดคล้องกันของกฎหมาย ส่งผลกระทบโดยตรงต่อชีวิตประจำวันของเราในหลายมิติ เช่น

1.ขอข้อมูลรัฐ แต่โดนปัดตก โดยประชาชนหรือสื่อมวลชนที่พยายามใช้สิทธิตาม พ.ร.บ.ข้อมูลข่าวสารฯ เพื่อตรวจสอบการทำงานของรัฐ มักถูกปฏิเสธง่ายๆ โดยอ้าง PDPA ทั้งที่ข้อมูลนั้นอาจเป็นข้อมูลสาธารณะที่ควรเปิดเผย

2.บริการรัฐที่ไม่เชื่อมโยง เคยไหมที่ต้องยื่นเอกสารเดิมๆ ซ้ำๆ กับหลายหน่วยงานราชการ? นี่คือผลพวงของการที่ข้อมูลยังเป็นกระดาษและการแชร์ข้อมูลระหว่างหน่วยงานทำได้ยาก เพราะต่างคนต่างกลัวความรับผิดชอบทางกฎหมาย

3.นวัตกรรมสะดุด การพัฒนาเทคโนโลยีอย่าง AI ต้องใช้ข้อมูลมหาศาลเป็นเชื้อเพลิง เมื่อการเข้าถึงและแลกเปลี่ยนข้อมูลทำได้ยาก การพัฒนา AI ของไทยเพื่อสร้างบริการดีๆ ให้ประชาชนก็เป็นไปได้ช้าลง

ปัจจุบัน DGA ได้สร้างเว็บไซต์กลางอย่าง data.go.th ขึ้นมา เพื่อให้เกิดการแชร์ข้อมูลระหว่างหน่วยงานภาครัฐ ทำให้ประชาชน รวมนึกนักพัฒนาและเจ้าหน้าที่รัฐสามารถเข้าถึงข้อมูลต่าง ๆ ได้ง่ายขึ้น แต่หลังจากที่เข้าไปดู บางข้อมูลยังคงพบว่าไม่ได้มีการอัปเดตเป็นปัจจุบันมากเท่าไหร่นัก และบางข้อมูล ยังเป็นข้อมูลย้อนหลังไปหลายปีก่อน

มองรอบบ้าน บทเรียนจากต่างประเทศ

ปัญหาความขัดแย้งทางกฎหมายข้อมูลไม่ได้เกิดแค่ในไทย แต่หลายประเทศก็เผชิญความท้าทายคล้ายกันและมีแนวทางแก้ไขที่น่าสนใจ

ในอินเดีย และศรีลังกา สองประเทศนี้ยึดหลักว่า สิทธิในการเข้าถึงข้อมูลต้องอยู่เหนือกฎหมายอื่น

อินเดีย มีบทลงโทษที่ชัดเจน หากเจ้าหน้าที่ปฏิเสธการให้ข้อมูลโดยไม่มีเหตุผลตามกฎหมาย อาจถูก ปรับเงินจากเงินเดือนของตัวเอง

ศรีลังกา คณะกรรมการข้อมูลข่าวสารยึดหลักการเปิดเผยเป็นหลัก ความลับเป็นข้อยกเว้น และมีบทลงโทษทางอาญาหากเจ้าหน้าที่ไม่ทำตาม

ส่วนฟิลิปปินส์ กลับมีแนวทางตรงกันข้าม โดยมี บทลงโทษทางอาญา หากเจ้าหน้าที่เปิดเผยข้อมูลที่ไม่ควรเปิดเผย ซึ่งสร้าง ความกลัวและทำให้เจ้าหน้าที่เลือกที่จะปกปิดข้อมูลมากกว่าเปิดเผย คล้ายกับสถานการณ์ในไทย

บทเรียนเหล่านี้ชี้ให้เห็นว่า การมีกฎหมายที่ชัดเจนและสร้างสมดุลที่ถูกต้องระหว่างการเปิด” และการคุ้มครองคือกุญแจสำคัญ

แล้วจะไปต่ออย่างไร

การแก้ปัญหานี้ไม่ใช่เรื่องง่าย แต่ก็ไม่ใช่ว่าเป็นไปไม่ได้ ในงาน ได้มีข้อเสนอแนะเร่งด่วนเพื่อปลดล็อกศักยภาพข้อมูลของประเทศ

1.สร้างความเข้าใจที่ถูกต้อง รัฐต้องเร่งให้ความรู้แก่เจ้าหน้าที่และประชาชนว่า PDPA ไม่ได้ห้ามการเปิดเผยข้อมูลเพื่อประโยชน์สาธารณะ เพื่อลดความกลัวและทัศนคติของการ “ปิดไว้ก่อน”

2.ผลักดันกฎหมาย Data Sharing โดยเร่งออกกฎหมายกลางที่เอื้อให้การแลกเปลี่ยนข้อมูลระหว่างหน่วยงานรัฐทำได้อย่างราบรื่นและปลอดภัย เพื่อยกระดับการบริการประชาชน

3.ลงทุนในข้อมูลเปิด  พัฒนาคุณภาพข้อมูลภาครัฐให้อยู่ในรูปแบบดิจิทัลที่เครื่องอ่านได้ (Machine-Readable) และน่าเชื่อถือ เพื่อให้ภาคเอกชนและนักพัฒนาสามารถนำไปต่อยอดสร้างนวัตกรรมได้

4.เปลี่ยนวิธีคิดของผู้บริหาร โดยผู้บริหารในหน่วยงานรัฐต้องเปลี่ยนแนวคิดจาก ความลับเป็นค่าเริ่มต้น มาสู่”ความโปร่งใสเป็นค่าเริ่มต้น และกำหนดนโยบายที่ชัดเจนเพื่อส่งเสริมการเปิดเผยข้อมูล

ท้ายที่สุดแล้ว เป้าหมายของกฎหมายข้อมูลทั้งหมดควรจะนำไปสู่ประโยชน์ของประชาชน ไม่ใช่การสร้างกำแพงระหว่างรัฐกับประชาชน โดยการสร้างธรรมาภิบาลข้อมูล ที่ดี คือการหาจุดสมดุลที่ลงตัวระหว่าง ความโปร่งใส ความเป็นส่วนตัว และนวัตกรรม เพื่อให้ประเทศไทยก้าวไปข้างหน้าในยุคดิจิทัลได้อย่างแท้จริง

ที่มา
งานเสวนา Forum on data government in Thailand