เดือดทั้งวงการ Unity จ่อเก็บเงินเพิ่ม ถ้าติดตั้งเกมเกินกำหนด (สรุปเหตุการณ์)

[เดือดทั้งผู้สร้างและผู้เล่น] ช่วง 1-2 วันที่ผ่านมานี้ หลาย ๆ คน หรือโดยเฉพาะเหล่าเกมเมอร์ อาจได้ยินข่าว Unity กำลังก่อเหตุสะเทือนวงการ สะเทือนยังไง ? แล้ว Unity คือบริษัทอะไร ? และอะไรคือ ‘ติดตั้งเกมเกินกำหนด’ ที่ส่งผลให้ทั้งเกมเมอร์และผู้พัฒนาเกมถึงเป็นเดือดเป็นร้อนกันทั่วโลก ในบทความนี้จะมาสรุปเหตุการณ์ทั้งหมดให้อ่านอย่างง่าย ๆ กันครับ

Genshin Impact , Among Us , Pokemon Go และอีกหลาย ๆ เกม เอาแค่ 3 เกมแรก ก็มียอดดาวน์โหลดและติดตั้งหลายล้านครั้งแล้ว ส่วนหนึ่งก็เพราะเป็นเกมข้ามแพลตฟอร์ม ที่เล่นได้ทั้งในมือถือกับ PC บางเกมก็โหลดเล่นได้ฟรี และบางเกมก็มีการออกแบบที่ถูกใจผู้เล่นอย่างแท้จริง แต่ทั้งหมดทั้งมวลก็มาจากเครื่องมือช่วยสร้างเกมหรือเอนจิ้น (Engine) ตัวหนึ่ง ที่เรียกได้ว่าเป็นแกนหลักอย่าง [Unity] ที่สุดของเอนจิ้นที่ถูกใช้ในเกมมือถือกว่า 60% ทั่วโลก

ทว่าปัจจุบัน เอนจิ้นดังกล่าวกำลังถูกเกลียดอย่างหนัก เพราะอาจทำให้วงการเกมเกิดความเสียหายร้ายแรง อาจมีเกมจำนวนมากต้องหายไป เกมเกิดใหม่อาจน้อยลง และตัวผู้เล่นก็อาจต้องเสียค่าเกมหรือเติมเงินเกมมากยิ่งขึ้นด้วย

ทำไมต้องเป็น Unity Engine

ในการพัฒนาเกมสักหนึ่งเกมนั้น ต้องใช้ทั้งเวลาและต้นทุนอยู่ไม่น้อย แต่การมาของเอนจิ้น ก็ช่วยให้ผู้สร้างเกมประหยัดทั้งเวลาและต้นทุนไปพอสมควร ไม่ต้องมานั่งวาดหรือเขียนโค้ดซ้ำ ๆ หลายครั้ง และหนึ่งในเอนจิ้นระดับ Top อย่าง Unity ปัจจุบันก็มีเกมกว่าครึ่งทั่วโลก ใช้เอนจิ้นนี้กันหมด สืบเนื่องจากความง่ายในการใช้งาน ที่ช่วยให้พัฒนาเกมได้หลากหลายแนว (2D/3D) หลากหลายแพลตฟอร์ม (PC/iOS/Android/Console) ทั้งยังเป็นมิตรกับผู้พัฒนาเกมหน้าใหม่ จนทำให้เกิดเกมใหม่ ๆ ออกมานับไม่ถ้วน

จากชอบกลายเป็นเกลียด

แม้จะเป็นมิตร แต่บริษัทที่พัฒนาตัว Unity เองก็ต้องกินต้องใช้เช่นกัน ดังนั้นถึงมีโปรแกรม (Plans) ที่แบ่งระดับการใช้งานตามความต้องการของผู้พัฒนาเกม อาทิ Unity Plus สำหรับนักศึกษาหรือนักพัฒนาอิสระ Unity Pro สำหรับผู้พัฒนาเกมที่มีทีมงานในระดับหนึ่งแล้ว และ Unity Enterprise/Industry สำหรับบริษัทพัฒนาเกมโดยเฉพาะ

หากเป็นหน้าใหม่ก็ใช้งานได้ฟรี หากเป็นทีมอาชีพก็มีค่าบริการ ซึ่งยิ่งจ่ายค่าบริการมาก ก็ยิ่งได้เครื่องมือที่เพียบพร้อมมากขึ้น จากนั้นก็อาจมีคุยเรื่องผลประโยชน์กันอีกที เช่นหากเกมนั้น ๆ ประสบความสำเร็จ ทาง Unity จะได้รับ % จากยอดขายตามข้อตกลง เข้าใจได้ไม่ยาก

ทว่าเมื่อวันที่ 13 กันยายนที่ผ่านมานั้น อยู่ดี ๆ ทางบริษัท Unity ได้ประกาศแผนเก็บค่าบริการหรือค่าธรรมเนียมใหม่อย่าง [Unity Runtime Fee] ซึ่งสรุปได้ง่าย ๆ คือ เหล่าผู้พัฒนาเกมที่ใช้ Unity จะต้องเสียเงินเพิ่มตามจำนวนยอดติดตั้งที่ถึงเกณฑ์ หรือเรียกแบบร้าย ๆ ว่า ‘เกินกำหนด’ จากแต่เดิมอาจคิดจากยอดขาย ก็มีคิดยอดติดตั้ง (Install) เพิ่มด้วย เริ่มใช้วันที่ 1 มกราคม 2024 ปีหน้านี้

หลังสิ้นสุดการประกาศ ชาวเกมเมอร์ ผู้พัฒนาเกม กับอีกหลาย ๆ คน ออกมาแสดงความไม่พอใจทั่วโซเชียลในทุกช่องทางทันที และถึงขั้นที่พนักงานของบริษัท Unity โดนส่งจดหมายขู่ฆ่า !!

Unity Runtime Fee ฝันร้ายของวงการเกม

ทำไมหลัง Unity ประกาศใช้ Unity Runtime Fee หรือแผนเก็บค่าธรรมเนียมใหม่นี้ ถึงโดนก่นด่าทั่วโซเชียล ถามว่าเพราะอะไรนั้น ก็ลองดูเกณฑ์ที่กำหนดสั้น ๆ นี้ได้

– หากผู้พัฒนามีรายได้ถึง 200,000 ดอลลาร์ฯ ในช่วง 12 เดือน และมียอดติดตั้ง 200,000 ครั้งขึ้นไป ถ้าเป็นสมาชิก Unity Personal หรือ Unity Plus ก็จะต้องจ่ายเงินเพิ่ม 0.20 ดอลลาร์ฯ ต่อการติดตั้ง

– หากเป็นผู้พัฒนารายใหญ่ มีรายได้ถึง 1 ล้านดอลลาร์ในช่วง 12 เดือน และมียอดติดตั้งถึง 1 ล้านครั้ง ถ้าเป็นสมาชิก Unity Pro ก็จะต้องจ่ายเงินเพิ่ม 0.15 ดอลลาร์ฯ และ Unity Enterprise จ่ายเพิ่ม 0.125 ดอลลาร์ฯ ต่อการติดตั้ง จากนั้นก็ลดหลั่นลงไปตามยอดการติดตั้ง

[ต่อการติดตั้ง] คำนี้เองที่สร้างความไม่พอใจ เพราะทาง Unity ไม่ได้นับแค่การโหลดและติดตั้งจากแพลต์ฟอร์มจำหน่ายเกมเท่านั้น แต่ยังนับเกมระหว่างพัฒนาด้วย (ตอนประกาศแรก ๆ นับยัน เกมฟรี เกมระหว่างพัฒนา เกม Demo ยันเกมโหลดเถื่อน) พร้อมอ้างว่ามีเครื่องมือพิเศษเฉพาะ ที่ทางบริษัทระบุว่าสามารถนับจำนวนการติดตั้งได้อย่างแม่นยำ (แต่ไม่เผยว่าเก็บยังไง) เท่ากับว่าเกมยิ่งดัง ยิ่งมียอดติดตั้งเยอะ ก็ยิ่งเสียค่าธรรมเนียมมากขึ้น และนั้นก็รวมไปถึงการลบและติดตั้งใหม่ด้วย

จุดสังเกตคือผู้พัฒนาที่เป็นสมาชิกระดับ Unity Personal หรือ Unity Plus ที่ส่วนใหญ่มักเป็นผู้พัฒนาเล็ก ๆ (Indy) หรือพัฒนาคนเดียวก็มี ต้องจ่ายค่าธรรมเนียมแพงกว่าบริษัทพัฒนาเกมยักษ์ใหญ่ซะอีก และยังต้องเสียเพิ่มอีก 0.02 ดอลลาร์ฯ หากมียอดเกินกำหนดด้วย

เสียงตอบรับจากผู้พัฒนาเกม

หลังประกาศดังกล่าวก็ทำให้เหล่าผู้พัฒนาเกมแสดงความไม่พอใจเป็นจำนวนมาก เพราะอาจต้องเสียเงินเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ โดยไม่สิ้นสุดนั้นเอง โดยเฉพาะผู้พัฒนาเกม Indy ที่นิยมใช้เอนจิ้น Unity พัฒนาเกมเป็นจำนวนมาก เช่น Paper Trail เกม Indy เล็ก ๆ จากทาง Newfangled ที่หนึ่งในทีมงานถึงกับทวีตเลยว่า “หากคุณซื้อเกมที่พัฒนาจาก Unity ของเรา โปรดอย่าติดตั้งมัน”

“เป็นการตัดสินใจที่สร้างหายนะชัด ๆ อาจเป็นจุดจบวงการเกม Indy กันเลย” หนึ่งในทีมงานของ Super Rare Games กล่าว

จากกระแสด้านลบมากมาย ล่าสุดทาง Unity ได้ปรับแผนให้ผู้พัฒนาได้รับผลกระทบน้อยลง ใด ๆ ก็ตาม หลังจากนี้เกม PC กับเกมมือถือหลาย ๆ เกมที่ใช้ Unity อาจมีราคาสูงขึ้น ต้องเติมเงินเยอะขึ้น และอาจทำให้เกม Indy ที่กำลังพัฒนาอยู่ ก็เลิกพัฒนาไปกลางคันเลย และอาจไม่พัฒนาเพิ่มอีกด้วยในอนาคต

ล่าสุดมีกระแสข่าวว่า ทั้งหมดทั้งมวลอาจเกิดจาก John Riccitiello ซีอีโอคนใหม่ของ Unity Technologies ซึ่งแต่เดิมเคยเป็นซีอีโอของ EA มาก่อน ล่าสุดมีการแฉประวัติและ ความเคลื่อนไหวล่าสุด ที่ไม่ดีนักของซีอีโอรายนี้ออกมาเรื่อย ๆ ซึ่งจริงแท้แค่ไหนนั้น ต้องรอดูต่อไป

ที่มา : Engadget , UnityBlog , UnityForum