เคลียร์ประเด็นร้อน World ประกาศจุดยืน เป็นศัตรูกับมิจฉาชีพ

[ข้อเท็จจริง] หลังเจอกระแสข่าวด้านลบ ล่าสุด World เปิดโต๊ะแถลงข่าว เคลียร์ทุกประเด็นที่สังคมสงสัย พร้อมประกาศจุดยืนชัดเจนในการเป็น “ศัตรูกับมิจฉาชีพ” ในยุคดิจิทัล

เมื่อวันที่ 3 กันยายนที่ผ่านมา World ผู้พัฒนาเทคโนโลยีสแกนม่านตา นำโดย นายภัคพล ตั้งตงฉิน ผู้จัดการ Tools for Humanity ประจำประเทศไทย นายฟาเบียน โบดันสไตเนอร์ (Fabian Bodensteiner) Managing Director จาก World Foundation พร้อมด้วยพันธมิตรประเทศไทย มาเคลียร์ประเด็น “ความเข้าใจผิด” โดยได้ยืนยันชัดเจน 5 ประเด็นหลัก เพื่อแก้ไขทุกความเข้าใจผิดของสาธารณชนดังต่อไปนี้

1. ไม่ใช่มิจฉาชีพ แต่เป็นเทคฯ ระดับโลกโดยผู้สร้าง ChatGPT

เปิดที่ประเด็นแรก ทาง World เผยที่มาที่ไปก่อน โดยระบุว่าเป็นโครงการที่มาจากเทคโนโลยีระดับโลกของบริษัท Tools for Humanity (TFH) ซึ่งร่วมก่อตั้งโดย Alex Blania ผู้ก่อตั้ง Tools for Humanity กับ Sam Altman เจ้าของ ChatGPT นี้เอง โดยมีเป้าหมายสำคัญคือ “เพื่อต่อสู้กับมิจฉาชีพที่ใช้ AI ในทางที่ผิด” พร้อมเผยปัจจุบันมีผู้ใช้งานแล้วกว่า 33 ล้านคนทั่วโลกแล้ว

2. ระบบใช้เพื่อยืนยันความเป็นมนุษย์เท่านั้น ไม่ใช่ยืนยันตัวตน

ถัดมาคือประเด็นเรื่องการสแกนม่านตา ทาง World ก็เผยว่าเทคโนโลยีนี้ ถูกพัฒนาขึ้นเพื่อยืนยันว่าเป็น “มนุษย์จริง” ไม่ใช่บอทหรือปัญญาประดิษฐ์ โดยจะไม่ถูกนำไปใช้ในวัตถุประสงค์อื่น พร้อมกล่าวชัดว่า “ระบบนี้ไม่ต้องใช้ข้อมูลส่วนบุคคล” ผู้ใช้งานไม่จำเป็นต้อง เปิดเผยชื่อ-นามสกุล ที่อยู่ หมายเลขบัตรประชาชน เบอร์โทรศัพท์ หรือข้อมูลส่วนตัวใด ๆ และระบบก็ไม่สามารถ ติดตามผู้ใช้งานได้

ในส่วนนี้ทาง World ได้ย้ำเป็นพิเศษทีเดียว โดยเฉพาะคำว่า “มนุษย์” ที่ไม่ใช่ยืนยันความเป็นคน แต่เป็นยืนยันความเป็นมนุษย์ต่างหาก และระบบของ World นั้น มีเพื่อพิสูจน์ว่าผู้ใช้ไม่ใช่บอทหรือ AI เท่านั้น ไม่ได้มีไว้เพื่อระบุว่า “คุณคือใคร”

3. ยืนยันปลอดภัยจริง ไม่มีการซื้อ-เก็บ-ขายข้อมูล ส่วนข่าวข้อมูลรั่วก็ไม่เป็นความจริง

จากที่หลายคนกลัวการแสกนม่านตาผ่านเจ้าเครื่อง Orb จนมีความกังวลว่าจะถูกเก็บเป็นไฟล์ภาพแล้วนำไปใช้ประโยนช์ในทางมิชอบ จุดนี้ทาง World ก็ได้กล่าวถึงเบื้องหลังสำคัญในการสแกนม่านตา ว่าจะมีการแปลงเป็นตัวเลขหรือ Iris Code พร้อมย้ำหนักแน่นว่าตัวเลขนี้ จะไม่สามารถแปลงหรือย้อนกลับมาเป็นภาพได้ ส่วนตัวภาพต้นฉบับก็จะถูกลบทันที โดยไม่มีการนำไปขายหรือเผยแพร่แต่อย่างใด ฉะนั้นตอนที่มีข่าวว่า “ทำข้อมูลหลุด” หรือ “นำข้อมูลไปขาย” จึงไม่เป็นความจริง นอกจากนี้ระบบ World จะไม่มีการเข้าถึง หรือผูกข้อมูลกับแอปฯ ทางการเงินใด ๆ และไม่เกี่ยวข้องกับการโจรกรรมทางการเงินตามที่มีการเผยแพร่

อนึ่งตัว Iris Code ทาง World เผยตอนที่ผู้ใช้ได้สแกนม่านตานั้น ตัวเลขดังกล่าวจะถูกเก็บไว้ในสมาร์ทโฟนของผู้ใช้ด้วย ซึ่งผู้ใช้สามารถกดลบได้ตลอดเวลา อีกทั้งตัวเลข Iris Code นี้ ก็มีการลงรหัสป้องกันไว้อย่างดีด้วย ต่อให้ผู้ใช้พลาดโดนแฮกสมาร์ทโฟน ตัวผู้ไม่หวังดีก็ไม่สามารถแกะรหัสนี้ได้แน่นอน และย้ำอีกครั้งว่าตัวเลขนี้ แปลงกลับเป็นภาพไม่ได้แล้ว

4. ทางบริษัทได้ปรึกษาหน่วยงานที่เกี่ยวข้องแล้ว ตั้งแต่ก่อนมาประเทศไทย ทั้งนี้ก็เพื่อดำเนินงานภายใต้กฏหมายและข้อบังคับไทยอย่างต่อเนื่อง

สำหรับข้อนี้ ก็เหมือนเป็นการบอกเป็นนัย ๆ เลยว่า “เรามาอย่างถูกกฏหมาย” มีการดำเนินงานภายใต้กรอบกฎหมายของประเทศไทยอย่างเคร่งครัด คือทาง World เผยมีการปรึกษาหน่วยงานในไทยที่เกี่ยวข้องแล้ว แต่ก็อาจเรียกได้อีกว่า “เท่าที่ทำได้” เพราะปัจจุบันก็มีหน่วยงานท้องถิ่น ยังมีความระแวงในระบบดังกล่าว (จนเป็นข่าวใหญ่) ซึ่งทาง World ก็ยืนยันว่าจะเร่งทำความเข้าใจต่อไป

นอกจากนี้ยังได้จัดทำ Auditor Report โดยผู้เชี่ยวชาญด้านเทคนิค เช่น Theori และ Trail of Bits ตรวจสอบระบบฮาร์ดแวร์และซอฟต์แวร์ ซึ่งทั้งหมดถูก เปิดเผยแบบโอเพนซอร์ส (Open-Source) บน GitHub ให้ทุกคนทั่วโลกเข้ามาตรวจสอบได้ เพื่อยืนยันว่าระบบปลอดภัยและไม่มี และผ่านการตรวจสอบจากผู้เชี่ยวชาญด้านความปลอดภัยระดับโลก เพื่อยืนยันว่าไม่มีช่องโหว่แอบแฝง

และเรื่องการแจกเงินนั้น ทาง World ก็ยืนยันเหมือนเดิมว่า “ไม่ได้แจกเงินสด”

ส่วน Open Source ที่ว่า ก็สามารถดูเพิ่มเติมได้ที่ https://world.org/th-th/open-source

5. ภารกิจหลักคือ แยก “คน” ออกจาก “บอท” เพื่อป้องกันการฉ้อโกงในโลกดิจิทัล

สุดท้ายนี้คือเป้าหมายหลักที่ทาง World มี อาจมีหลายคนสงสัยว่า “World ทำกำไรจากไหน” จุดนี้ทางบริษัทก็ได้กล่าวถึงเป้าหมายหลักก่อนคือ “แยกคนออกจากบอท” โดยเริ่มแรกคือการสร้างเกราะป้องกัน ที่ช่วยหนุนให้ระบบหรือแพลตฟอร์มต่าง ๆ นำไปใช้เป็นเครื่องช่วยยืนยันว่า ‘มีผู้ใช้ที่เป็นมนุษย์จริง ๆ’ ซึ่งในไทยได้ก็เริ่มใช้งานกับพันธมิตรบ้างแล้ว เช่น Pantip , Whoscall , Eventpop และเกม Ragnarok Landverse เพื่อสร้างสภาพแวดล้อมดิจิทัลที่ปลอดภัยขึ้น

ตัวอย่างเช่น Eventpop ก็มีการใช้ World ช่วยยืนยันว่าผู้ใช้ที่มาซื้อตั๋วคอนเสิร์ตนั้น ไม่ใช่บอทส่งมา ซึ่งอาจนำไปสู่การพิจารณาขายตั๋วให้นั้นเอง แต่ตอนนี้ก็อยู่ระหว่างเพิ่มผู้ใช้งาน หากวันหนึ่งระบบ World เป็นที่มั่นใจและมีผู้ใช้มากพอ ก็จะนำไปสู่การขายบริการช่วยยืนยันความเป็นมนุษย์ ให้กับแพลตฟอร์มออนไลน์ทั่วโลกนั้นเอง

Orb Hackathon เชิญผู้เชี่ยวชาญและนักพัฒนาเข้ามาทดสอบด้วยตัวเอง

หลังเคลียร์ 5 ประเด็นใหญ่แล้ว ถัดมาทาง World ก็มีประกาศสำคัญคือ ‘การจัดงาน Orb Hackathon ในประเทศไทย’ เชิญผู้เชี่ยวชาญและนักพัฒนาเข้ามาทดสอบ ความแข็งแกร่งของระบบ Orb พร้อมจัดสรรเงินรางวัลสำหรับผู้ที่ค้นพบช่องโหว่ เพื่อมุ่งพัฒนาเทคโนโลยีด้านความปลอดภัยไซเบอร์และสร้างระบบนิเวศในไทย

การเปิดเวทีครั้งนี้ก็เป็นการสะท้อนถึง ความมั่นใจและความโปร่งใสของ World ที่กล้าเปิดโอกาสให้ผู้เชี่ยวชาญภายนอกตรวจสอบ อย่างเปิดเผยและ พร้อมพัฒนาให้ดียิ่งขึ้น และต่อเนื่องจากโครงการ “Build With World” ทางบริษัทก็ประกาศลงทุนกว่า 25 ล้านบาทในประเทศไทย เพื่อสนับสนุนนักพัฒนาไทยในการสร้าง Mini Apps และฐานข้อมูลที่ใช้ World ID เป็นกลไกยืนยันความเป็นมนุษย์ เงินลงทุนครั้งนี้มีเป้าหมายเพื่อ เร่งการเติบโตของระบบนิเวศเทคโนโลยีในประเทศ และผลักดันให้ผู้พัฒนาไทย ก้าวสู่เวทีโลกด้วยนวัตกรรมระดับสากล

ระวังมิจฉาชีพแอบอ้าง

สุดท้ายนี้ World ขอให้ประชาชนระมัดระวังผู้ไม่หวังดีที่อาจแอบอ้างชื่อ โดยเฉพาะการเสนอเงินสดหรือผลตอบแทนอื่น ๆ เพื่อขอเข้าถึงบัญชี World ID ของท่าน และขอย้ำว่า การยืนยันความเป็นมนุษย์ทุกขั้นตอนต้องทำผ่านแอป World และเครื่อง Orb อย่างเป็นทางการเท่านั้น

สุดท้ายของสุดท้าย แม้จะมีการชี้แจ้งเพิ่มเติม แต่ก็ขอให้ผู้อ่านพิจารณาให้ดีเช่นเคย ไม่ก็รอดูในงาน Orb Hackathon ที่อาจมีข่าวน่าสนใจเพิ่มเติมครับ