จุฬาฯ ร่วมมือ The Ocean Cleanup และกรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่งนำร่องใช้เทคโนโลยีกล้องถ่ายภาพและ AI วิเคราะห์ปริมาณขยะในแม่น้ำเจ้าพระยา มุ่งลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมและผลักดันนโยบายการจัดการขยะอย่างมีประสิทธิภาพ ทั้งในภาคพื้นดินและในแหล่งน้ำ
หากคุณคิดว่าขยะที่คุณทิ้งในวันนี้จะหายไปจากชีวิตตลอดกาลคุณอาจต้องคิดใหม่
“จากการตรวจสอบฉลากของขยะพลาสติกที่พบบริเวณแม่น้ำเจ้าพระยา เราพบขยะที่มีอายุย้อนไปถึง 10 ปี!” ศาสตราจารย์ ดร.สุชนา ชวนิชย์ อาจารย์ภาควิชาวิทยาศาสตร์ทางทะเล คณะวิทยาศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และรองผู้อำนวยการสถาบันวิจัยทรัพยากรทางน้ำ เผยข้อค้นพบจากโครงการวิจัยกำจัดขยะพลาสติกจากแม่น้ำเจ้าพระยาในกรุงเทพฯ ที่นักวิจัยจุฬาฯ ใช้กล้องและเทคโนโลยี AI ดักและติดตามขยะในแม่น้ำเจ้าพระยามาตั้งแต่ปี 2564 ถึง 2567
“ปัจจุบัน ประเทศไทยติดอันดับ Top 10 ของโลก ด้านการจัดการขยะที่ไม่มีประสิทธิภาพ ส่งผลให้เกิดมลพิษทางทะเลในระดับสูง” ศ. ดร.สุชนากล่าว
ที่ผ่านมาหลายองค์กรและภาคส่วนต่างๆได้พยายามรณรงค์สร้างจิตสำนึกออกแนวนโยบายและมาตรการต่างๆเพื่อลดและกำจัดขยะทั้งในภาคพื้นดินและในน้ำอย่างต่อเนื่องเพื่อลดขยะในทะเลโครงการนำร่องล่าสุดก็เช่นกัน โครงการวิจัยกำจัดขยะพลาสติกจากแม่น้ำเจ้าพระยาในกรุงเทพฯ” เป็นความร่วมมือระหว่างจุฬาฯ สถานทูตประเทศเนเธอร์แลนด์ กรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง กรุงเทพมหานคร และภาคเอกชนภายใต้การดำเนินงานของ The Ocean Cleanup องค์กรไม่แสวงหากำไรด้านวิศวกรรมสิ่งแวดล้อมจากประเทศเนเธอร์แลนด์ที่มีเป้าหมายในการสำรวจปริมาณขยะในมหาสมุทรทั้ง 5 แห่งของโลกโดยทีมงานในโครงการฯประกอบด้วยนักวิทยาศาสตร์วิศวกรนักออกแบบและอาสาสมัครที่ร่วมกันพัฒนาเทคโนโลยีเพื่อจัดการปัญหาขยะในทะเล
ปัญหาขยะในแม่น้ำและทะเลไทย
กรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่งคาดการณ์ปริมาณขยะทะเลโดยรวบรวมข้อมูลปริมาณขยะมูลฝอยชุมชนและสัดส่วนของการจัดการขยะรายจังหวัดในพื้นที่ติดชายฝั่งทะเลจำนวน 23 จังหวัดผลการประเมินในปี 2565 พบว่ามีปริมาณขยะมูลฝอยเกิดขึ้นรวม 11.60 ล้านตันในจำนวนนี้เป็น “ขยะพลาสติก” ราว 302,389 ตัน (หรือ 0.30 ล้านตัน) ซึ่งร้อยละ 10 -15 ของขยะพลาสติกเหล่านี้มีโอกาสตกค้างบริเวณชายหาดและถูกพัดพาลงทะเลกลายเป็น “ขยะทะเล” ราว 30,239-45,358 ตันหรือประมาณ 0.03-0.45 ล้านตัน
กรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่งได้ดำเนินการจัดโครงการบริหารจัดการขยะทะเลต่างๆอย่างต่อเนื่องตั้งแต่ปีงบประมาณ 2560 โดยมีเป้าหมายในการสร้างจิตสำนึกช่วยลดปริมาณขยะในทะเลและชายฝั่งรวมถึงป้องกันการเกิดขึ้นใหม่ของขยะทะเลโดยจัดเก็บขยะตกค้างในระบบนิเวศที่สำคัญระบบนิเวศชายหาดปะการังและป่าชายเลน 21 จังหวัดชายฝั่งแบบมีส่วนร่วมผ่านเครือข่ายภาคประชาชนองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นภาครัฐภาคเอกชนและอื่นๆแต่ขยะมูลฝอยและขยะพลาสติกก็ยังคง “ลอยนวล” อยู่ในแหล่งน้ำและท้องทะเลซึ่งหากไม่จัดการปัญหาขยะในแหล่งน้ำจะส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมและสัตว์น้ำเสี่ยงต่อสุขภาพมนุษย์สร้างความเสียหายต่อเศรษฐกิจทั้งการประมงและท่องเที่ยวและกระทบต่อภาพลักษณ์ของประเทศในระยะยาว
กล้องและ AI ส่องปริมาณและเส้นทางขยะในแม่น้ำ
ศ. ดร.สุชนากล่าวว่าในโครงการวิจัยกำจัดขยะพลาสติกจากแม่น้ำเจ้าพระยาในกรุงเทพฯ ทีมนักวิจัยจากจุฬาฯรับหน้าที่ศึกษาและเก็บข้อมูลปริมาณขยะในแม่น้ำเจ้าพระยาตั้งแต่ปี 2564 จนถึง 2567 โดยมีเป้าหมายเพื่อวิเคราะห์ปริมาณขยะที่ไหลลงสู่ทะเลและศึกษาประสิทธิภาพของเรือเก็บขยะระบบอัตโนมัติแบบใช้พลังงานแสงอาทิตย์ (Interceptor) ในการลดขยะก่อนที่จะออกสู่มหาสมุทร
“ทีมนักวิจัยจุฬาฯติดตั้งกล้องตรวจจับขยะบริเวณสะพานสำคัญ 3 แห่งได้แก่สะพานสมเด็จพระปิ่นเกล้าสะพานอรุณอมรินทร์และสะพานภูมิพลซึ่งเป็นจุดที่ขยะจากต้นน้ำจะไหลผ่านกล้องเหล่านี้จะบันทึกภาพทุก 15 นาทีเพื่อให้สามารถติดตามปริมาณขยะได้ตลอด 24 ชั่วโมงอย่างมีประสิทธิภาพมากกว่าการสังเกตด้วยตาเปล่า” ศ. ดร.สุชนาอธิบายการเก็บภาพและวิเคราะห์ข้อมูลขยะ
“จากนั้น AI ของ The Ocean Cleanup จะช่วยประมวลผลภาพถ่ายวิเคราะห์ปริมาณและประเภทของขยะที่ลอยผ่านใต้สะพานพร้อมทั้งติดตามเส้นทางการเคลื่อนที่ของขยะและประเมินประสิทธิภาพของเครื่องดักขยะว่าดักขยะได้มากน้อยเพียงใด”
ผลการศึกษาและแนวทางในอนาคต
ศ. ดร.สุชนาเผยผลการศึกษาเบื้องต้นว่า “ขยะพลาสติก” ยังคงเป็นขยะหลักที่พบในแม่น้ำเจ้าพระยาและการใช้เครื่องดักขยะพลังงานแสงอาทิตย์ช่วยลดปริมาณขยะที่ไหลลงทะเลได้อย่างมีนัยสำคัญ
เรือดักขยะสามารถเก็บขยะได้สูงถึง 6-7 ตันโดยมีข้อจำกัดที่ปริมาตรของขยะมากกว่าน้ำหนักปกติแล้วเรือจะใช้เวลาประมาณ 2-3 วันในการเก็บจนเต็มขึ้นอยู่กับสภาพอากาศโดยเฉพาะในช่วงที่มีฝนตกหลังจากนั้นขยะที่รวบรวมได้จะถูกนำไปคัดแยกและกำจัดอย่างถูกต้องตามขั้นตอน
ในเบื้องต้นข้อมูลที่ได้จากการเก็บรวบรวมและวิเคราะห์ด้วย AI จะถูกนำไปใช้เป็นแนวทางในการกำหนดนโยบายของกรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่งซึ่งมีเป้าหมายที่จะดำเนินโครงการต่อเนื่องไปอีก 3 ปีศ. ดร.สุชนาหวังและเชื่อมั่นว่าหากผลการวิเคราะห์การติดตามขยะเสร็จสมบูรณ์น่าจะได้แนวทางเพิ่มประสิทธิภาพการกำจัดขยะได้เพิ่มขึ้น
“ผลการศึกษานี้จะเป็น “ฐานข้อมูลสำคัญ” ที่สามารถต่อยอดไปสู่การพัฒนาแผนจัดการขยะในแม่น้ำเชิงระบบให้มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น ช่วยให้เราสามารถวางนโยบายการจัดการขยะที่แม่นยำและยั่งยืนมากขึ้นทั้งในระดับพื้นที่และระดับประเทศเช่นระบุจุดที่มีการทิ้งขยะมากเพื่อนำไปวางแผนป้องกันพัฒนานโยบายหรือมาตรการลดการทิ้งขยะลงน้ำหรือส่งเสริมการจัดการขยะต้นทางในชุมชนซึ่งทั้งหมดนี้จะช่วยลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมได้ในระยะยาว” ศ. ดร.สุชนากล่าวและเสริมว่า “การใช้เทคโนโลยีกล้องถ่ายภาพและ AI จะช่วยให้เราระบุจุดที่ยังต้องการการจัดการขยะไม่ว่าจะมีเครื่องดักขยะหรือไม่และยังช่วยประเมินประสิทธิภาพของโครงการจัดการขยะที่มีอยู่ของภาครัฐและเอกชนได้อีกด้วย”
สุดท้ายแล้ว “ปัญหาขยะ” ไม่มีพรมแดน ทุกภาคส่วนจึงต้องตระหนักและร่วมกันแก้ไข
“การแก้ปัญหาขยะเป็นความรับผิดชอบของทุกภาคส่วนความร่วมมือจากต่างชาติที่เกิดขึ้นสะท้อนให้เห็นภาพว่าขยะที่เราคิดว่าอยู่เพียงในประเทศอาจถูกพัดพาออกสู่ทะเลและกระทบต่อประเทศอื่นดังนั้นการจัดการขยะจึงไม่ใช่เพียงปัญหาระดับชาติแต่เป็นปัญหาระดับโลกที่ทุกประเทศต้องร่วมมือกัน” ศ. ดร.สุชนากล่าวทิ้งท้าย