พลิกเกมตลาดชิป PC NVIDIA จับมือ Intel เขย่าโลกเซมิคอนดักเตอร์ 

NVIDIA จับมือ Intel

คิดว่าหลายคนน่าจะเห็นข่าวการประกาศลงทุน 5 พันล้านดอลลาร์ของ NVIDIA ใน Intel พร้อมข้อตกลงความร่วมมือเชิงกลยุทธ์ ต้องบอกว่า นี่ไม่ใช่แค่ข่าวใหญ่ แต่เป็นปรากฏการณ์ที่เปรียบเสมือนการเคลื่อนตัวของแผ่นเปลือกโลกในวงการเซมิคอนดักเตอร์เลยทีเดียว

เพราะการจับมือกันของสองยักษ์ใหญ่ที่เคยเป็นคู่แข่งกันมาตลอด กำลังจะส่งแรงสั่นสะเทือนที่จะเปลี่ยนแปลงภูมิทัศน์ของตลาดชิปในศูนย์ข้อมูล และคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคล ไปอย่างสิ้นเชิง Techhub มาลองวิเคราะห์คร่าว ๆ กันดูว่า ชิปในคอมพิวเตอร์ของพวกเรานั้น จะเปลี่ยนไปแค่ไหนครับ

คำถามแรกคือ Intel ได้อะไร? ต้องบอกว่า นี่คือการพลิกวิกฤษเป็นโอกาศที่ชัดเจน
ทันทีที่ข่าวนี้หลุดออกมา หุ้นของ Intel ก็พุ่งพรวดในชั่วข้ามคืน สำหรับ Intel นี่คือข้อตกลงที่ให้ประโยชน์มหาศาลและมาได้ถูกที่ถูกเวลาอย่างยิ่ง

  1. การยอมรับและความเชื่อมั่น การที่ NVIDIA ซึ่งเป็นผู้นำตลาดชิป AI และ GPU ยอมทุ่มเงินมหาศาลและฝากอนาคตผลิตภัณฑ์บางส่วนไว้กับ Intel ถือเป็นการตบหน้าคู่แข่งและสร้างความเชื่อมั่นให้กับนักลงทุนอย่างรุนแรงว่าแผนกลยุทธ์และเทคโนโลยีการผลิตของ Intel  มีอนาคตที่สดใส นี่คือสิ่งที่เงินก็ซื้อไม่ได้
  2. กราฟฟิกแบบฝัง ที่แรงขึ้นไปอีก  ที่ผ่านมา จุดอ่อนของ Intel คือหน่วยประมวลผลกราฟิกแบบฝัง (Integrated Graphics) ที่แม้จะพัฒนาขึ้นมากภายใต้ชื่อ Intel Arc แต่ก็ยังไม่เป็นที่น่าประทับใจของเหล่ายูสเซอร์ แต่การชิปเล็ต ระดับท็อปอย่าง NVIDIA RTX มาผนวกรวมใน System-on-Chip ของตนเอง จะช่วยขจัดจุดอ่อนนี้ได้ทันที ทำให้โน้ตบุ๊กและ PC ที่ใช้ชิป Intel มีพลังกราฟิกที่แรงขึ้นมาก และสามารถกลับมาแข่งขันในตลาดเกมมิ่งและคอนเทนต์ครีเอเตอร์ได้ได้สมศักดิ์ศรีเลยล่ะ
  3. การกลับสู่สมรภูมิผู้นำ การผนึกกำลังครั้งนี้ทำให้ Intel กลับมาเป็นผู้เล่นที่น่าจับตาในสงคราม AI PC ที่กำลังจะมาถึง จากเดิมที่ดูเหมือนจะตามหลังคู่แข่งอยู่หนึ่งก้าว ตอนนี้พวกเขามีไพ่เด็ดอยู่ในมือที่จะต่อกรกับชิปตระกูล M-Series ของ Apple หรือชิป Snapdragon X Elite ของ Qualcomm ที่ใช้สถาปัตยกรรม ARM ได้อย่างสูสี

คำถามต่อมาคือ แล้ว NVIDIA ได้อะไร? ทำไมถึงขยายอาณาจักรสู่ใจกลาง x86 ทั้ง ๆ ที่ Arm กำลังมาแรง

สำหรับ NVIDIA แม้จะอยู่ในตำแหน่งที่แข็งแกร่ง แต่ดีลนี้คือการเดินหมากที่อาจจะชาญฉลาดเพื่อการเติบโตในระยะยาว

  1. การเข้าถึงตลาดที่ใหญ่ขึ้น NVIDIA ครองตลาดการ์ดจอแยก (Discrete GPU) แต่การนำเทคโนโลยี RTX ของตนเองเข้าไปฝังอยู่ใน CPU ของ Intel ที่มีส่วนแบ่งตลาดมหาศาล เท่ากับเป็นการขยายแพลตฟอร์มและระบบนิเวศของตนเอง (เช่น DLSS, Ray Tracing) ไปสู่ผู้ใช้งานในวงกว้างขึ้นอีกหลายเท่าตัว
  2. การสร้างแรงกดดันต่อคู่แข่งโดยตรง AMD มีจุดแข็งคือ APU (ชิปที่รวม CPU และ GPU ตระกูล Radeon ที่ค่อนข้างแรง) ซึ่งครองตลาดโน้ตบุ๊กเกมมิ่งและเครื่องเล่นเกมคอนโซล แต่การมาถึงของ Intel Core with RTX จะเป็นการท้าชนกับจุดแข็งที่สุดของ AMD โดยตรง ทำให้ AMD ต้องเผชิญกับการแข่งขันที่หนักหน่วงขึ้นอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
  3. ลดความเสี่ยงด้านการผลิตการพึ่งพา TSMC เพียงรายเดียวมีความเสี่ยงสูง การร่วมมือกับ Intel เพื่อผลิตชิปบางส่วน เป็นการกระจายความเสี่ยงในห่วงโซ่อุปทานที่สำคัญ ซึ่ง Intel ก็มีโรงงานผลิตชิปของตนเองอยู่แล้ว

AMD ต้องกังวลหรือไม่?

คำตอบคือ ใช่ แหละนะ ข้อตกลงนี้เปรียบเสมือนการประกาศสงครามในสมรภูมิที่ AMD เคยเป็นเจ้าตลาดมาตลอด นั่นคือตลาดชิปที่รวม CPU และ GPU ประสิทธิภาพสูงเข้าด้วยกัน พวกเขาต้องเร่งพัฒนานวัตกรรมทั้งด้าน CPU (Zen) และ GPU (RDNA) ให้ทิ้งห่างออกไปอีก เพื่อรักษาความได้เปรียบไว้ให้ได้

แล้วอนาคตเกมมิ่ง SoC จะแรงพอเล่นเกม AAA หรือยังต้องพึ่งการ์ดจอ? คำตอบคือ เป็นไปได้ ทั้งสองอย่าง เพราะ

  • ยุคใหม่ของเกมมิ่งบนเครื่องเล่นเกมระดับเริ่มต้นและโน้ตบุ๊ก โดย ชิป SoC ที่รวม CPU Intel และ GPU RTX Chiplet จะมีประสิทธิภาพสูงพอที่จะเล่นเกมระดับ AAA ที่ความละเอียด 1080p ได้อย่างแน่นอน โดยอาศัยเทคโนโลยีอย่าง DLSS เข้ามาช่วยเพิ่มเฟรมเรต ซึ่งจะทำให้การเล่นเกมบนโน้ตบุ๊กบางเบาและ PC ระดับเริ่มต้นนั้นมีเฟรมเรทที่สูงขึ้นมาก
  • การ์ดจอแยกยังคงเป็นราชาสำหรับกลุ่ม Enthusiast สำหรับเกมเมอร์ที่ต้องการเล่นเกมบนความละเอียด 4K, ปรับสุดทุกอย่าง และต้องการเฟรมเรตที่สูงที่สุด การ์ดจอแยกจะยังคงเป็นสิ่งที่จำเป็นต่อไป เนื่องจากข้อจำกัดด้านพลังงาน, การระบายความร้อน และแบนด์วิดท์หน่วยความจำบนชิป SoC ครับ

สรุปก็คือการจับมือระหว่าง NVIDIA และ Intel ไม่ใช่แค่ความร่วมมือทางธุรกิจ แต่เป็นการจัดระเบียบอำนาจในอุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์ครั้งใหญ่ Intel ได้รับทุนสนับสนุนเพื่อฟื้นคืนชิปของตัวเอง

ขณะที่ NVIDIA ได้ขยายอิทธิพลของตนเองลึกเข้าไปในแกนกลางของตลาด PC ผู้ที่ต้องรับแรงกระแทกไปเต็มๆ คือ AMD ส่วนผู้บริโภคคือผู้ที่ได้รับประโยชน์สูงสุด เพราะสงครามครั้งใหม่นี้จะผลักดันให้เกิดนวัตกรรมและผลิตภัณฑ์ที่ทรงพลังขึ้นในราคาที่เข้าถึงง่ายขึ้นกว่าเดิม โลกของชิป PC หลังจากนี้ จะไม่เหมือนเดิมอีกต่อไปแล้วล่ะครับ รอดูไม่ไหวแล้วล่ะนะ

ข้อมูลจาก

newsroom

nvidianews