เคยไหม? เดินไปถึงร้านค้าแล้วลืมว่าต้องซื้ออะไร หรือคุยงานเสร็จแล้วจำไม่ได้ว่ารับปากอะไรไว้ ในยุคที่ข้อมูลท่วมหัว Sonal AI อาจเป็นฮีโร่ตัวใหม่ที่จะมากู้คืนความทรงจำของคุณ
Sonal AI ไม่ได้เกิดขึ้นในห้องแล็บสุดหรู แต่เกิดจากความผิดพลาดเล็กๆ ในชีวิตจริงของ Tim Uzua วิศวกรซอฟต์แวร์ที่มีประสบการณ์กว่า 20 ปี เรื่องมีอยู่ว่า คืนหนึ่งภรรยาที่กำลังตั้งครรภ์อยากกินแตงโม Tim จึงรีบออกไปซื้อของ แต่กลับมาพร้อมทุกอย่าง ยกเว้นแตงโม
เหตุการณ์นี้ทำให้เขาตระหนักถึงทฤษฎี Forgetting Theory ที่ระบุว่ามนุษย์เรามักลืมข้อมูลใหม่ๆ ถึง 70% ภายใน 24 ชั่วโมง ยิ่งเมื่อต้องเลี้ยงลูกและทำงานหนัก สมองก็ยิ่งรับภาระไม่ไหว แอปจดบันทึกทั่วไปก็ยุ่งยากเกินไป เขาจึงสร้าง Sonal AI ขึ้นมาเพื่อแก้ปัญหานี้โดยเฉพาะ
นี่ไม่ใช่แค่เครื่องอัดเสียง แต่มันคือ Wearable Memory Assistant หรืออุปกรณ์สวมใส่ช่วยจำอัจฉริยะ ขนาดเล็ก พกพาง่าย ทำงานโดยที่คุณไม่ต้องหยิบมือถือขึ้นมากด
ความสามารถคือ
– ฟังและคิดแทน อุปกรณ์จะคอยฟังบทสนทนาและเหตุการณ์รอบตัวตลอดวัน
– จัดการชีวิต AI จะถอดเสียง สรุปใจความสำคัญ แยกแยะว่าเป็นสิ่งที่ต้องทำ (To-do list), การนัดหมาย หรือรายการของที่ต้องซื้อ
อุปกรณ์ถูกออกแบบมาเพื่อใช้ในชีวิตจริง ไม่ว่าจะคุยกับครอบครัว ประชุมลูกค้า หรือแค่บ่นกับตัวเองตอนขับรถ ซึ่งเห็นได้ชัดว่า มันสามารถใช้ได้มากกว่าเรื่องงาน
ฟีเจอร์เด็ดที่ทำให้ Sonal AI น่าจับตามอง
1.Always-on แบตเตอรี่อยู่ได้นาน 12 ชั่วโมง (และกำลังพัฒนาให้ถึง 20 ชั่วโมง) ใส่ได้ทั้งวัน
2.Context Intelligence AI ฉลาดพอที่จะเข้าใจบริบท ไม่ใช่แค่จดตามคำบอก แต่รู้ว่าประโยคไหนคือนัดหมาย ประโยคไหนคือ ความทรงจำสำคัญ
3.Privacy-First ผู้ใช้ควบคุมข้อมูลได้ 100% ว่าจะเซฟ จะซิงค์ หรือจะลบ เพื่อความสบายใจเรื่องความเป็นส่วนตัว
4.Hands-free ไม่ต้องกดปุ่ม ไม่ต้องเปิดแอป ปล่อยให้มันทำงานเบื้องหลัง เพื่อให้คุณโฟกัสกับคนตรงหน้าได้เต็มที่
ต้องยอมรับว่าไอเดียของ Sonal AI นั้นเกาถูกที่คัน สุดๆ สำหรับคนยุคนี้ที่มีภาวะ Brain Fog หรือสมองล้าจากการเสพข้อมูลเยอะเกินไป การมีอุปกรณ์ตัวเล็กๆ มาคอยเป็น External Hard Drive ให้สมองเรา คอยจดสิ่งที่ต้องทำให้อัตโนมัติ โดยที่เราไม่ต้องหยิบมือถือขึ้นมาพิมพ์ ถือเป็นฝันที่เป็นจริงของคนขี้ลืม (และคนขี้เกียจจด)
แต่ ความท้าทายใหญ่สุดไม่ใช่เรื่องเทคโนโลยี แต่เป็นเรื่อง Social Norm & Privacy หรือมารยาททางสังคมและความเป็นส่วนตัว
ถึงผู้สร้างจะบอกว่าเน้น Privacy แต่ในทางปฏิบัติ การใส่อุปกรณ์ที่ดักฟังตลอดเวลา อาจทำให้คู่สนทนารู้สึกอึดอัดได้ เหมือนกับกรณีของแว่นตา Google Glass ในอดีต หรือคู่แข่งอย่าง AI Pin และ Limitless ที่พยายามทำตลาดอยู่ตอนนี้
อีกเรื่องคือ AI Hallucination หรือการมั่วข้อมูล ถ้า AI สรุปผิดว่า ภรรยาอยากกินทุเรียน แทนที่จะเป็นแตงโม บ้านอาจแตกได้เหมือนกัน
ที่มา








