ข้อมูลจาก New York Post ชี้ถึงความแตกต่างที่ชัดเจนระหว่างสองมหาอำนาจของโลก โดยระบุว่า จีน กำลังก้าวไปข้างหน้าอย่างรวดเร็วด้วยวัฒนธรรมแบบ รัฐวิศวกร หรือ Engineering State ที่เน้นการสร้างและพัฒนาอย่างไม่หยุดยั้ง ในขณะที่ สหรัฐอเมริกา กำลังติดหล่มอยู่กับระบบราชการและปัญหาฟ้องร้องทางกฎหมาย จนกลายเป็นสังคมนักกฎหมาย หรือ Lawyerly Society ที่ทำให้การพัฒนาเป็นไปอย่างเชื่องช้า
หนังสือชื่อ “Breakneck: China’s Quest to Engineer the Future” ได้ฉายภาพการพัฒนาของจีนที่น่าทึ่ง ตัวอย่างเช่น มณฑลกุ้ยโจว ซึ่งเคยเป็นหนึ่งในพื้นที่ที่ยากจนที่สุดของจีน ปัจจุบันได้กลายเป็นศูนย์กลาง โครงสร้างพื้นฐานจีนที่สำคัญ มีสะพานที่สูงที่สุดในโลกถึง 45 แห่ง, สนามบิน 11 แห่ง, และทางรถไฟความเร็วสูงหลายพันกิโลเมตร นอกจากนี้ยังกลายเป็นเมืองหลวงแห่งกีตาร์ของโลกอีกด้วย
ปัจจัยสำคัญที่ขับเคลื่อน การพัฒนาของจีน คือการที่ผู้นำประเทศส่วนใหญ่มีพื้นฐานด้านวิศวกรรม ตั้งแต่สมัยเติ้งเสี่ยวผิง จนถึงยุคของหู จิ่นเทา ที่ผู้นำระดับสูงเกือบทั้งหมดล้วนเป็นวิศวกร ซึ่งทำให้แนวคิดการบริหารประเทศมุ่งเน้นไปที่การสร้าง การแก้ปัญหา และการลงมือทำอย่างเป็นรูปธรรม ผลลัพธ์คือ
1.จีนสร้างทางหลวง ได้ยาวกว่าสองเท่าของระบบทางหลวงระหว่างรัฐของสหรัฐฯ ทั้งหมด
2.จีนมีกำลังการผลิต พลังงานแสงอาทิตย์และลมเกือบเท่ากับทั้งโลกใบนี้รวมกัน
3.จีนมีคนงานในภาคการผลิต มากกว่าสหรัฐฯ ถึง 5 เท่า
4.การก่อสร้างขนาดใหญ่ไม่เพียงกระตุ้นเศรษฐกิจ แต่ยังทำให้ประชาชนรู้สึกว่าชีวิตความเป็นอยู่ดีขึ้น ซึ่งช่วยสร้างความเชื่อมั่นต่อพรรคคอมมิวนิสต์
สหรัฐอเมริกา สังคมนักกฎหมายที่ติดกับดักตัวเอง ต้องยอมรับว่าในอดีต สหรัฐฯ ซึ่งเคยเป็นผู้นำด้านวิศวกรรม (เช่น การสร้างทางรถไฟ, โครงการอวกาศ) กลับชะลอตัวลงตั้งแต่ยุค 1960s เนื่องจากสังคมเริ่มกังวลผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อมและมองว่ารัฐบาลกับบริษัทเอกชนทำเพื่อผลประโยชน์ของตัวเองมากเกินไป
สิ่งนี้ก่อให้เกิดวัฒนธรรมการฟ้องร้องคดีเพื่อหยุดยั้งโครงการต่างๆ และแนวคิดที่ว่า รัฐบาลคือปัญหา ไม่ใช่ทางออก ของประธานาธิบดีโรนัลด์ เรแกน ทำให้สังคมอเมริกันเปลี่ยนจาก การสร้างไปสู่ การขัดขวาง
ปัจจุบัน ผู้นำทางการเมืองของสหรัฐฯ ส่วนใหญ่มาจากสายกฎหมาย ไม่ว่าจะเป็นประธานาธิบดีหรือสมาชิกรัฐสภา ซึ่งแตกต่างจากจีนอย่างสิ้นเชิง ทุกวันนี้ชาวอเมริกันอาศัยอยู่ในซากปรักหักพังของอารยธรรมอุตสาหกรรม ที่โครงสร้างพื้นฐานแทบจะไม่ได้รับการบำรุงรักษาและไม่เคยถูกขยาย (แรงงง)
กรณีเปรียบเทียบที่ชัดที่สุดรถไฟความเร็วสูง
ความแตกต่างระหว่าง จีน vs สหรัฐ เห็นได้ชัดจากโครงการ รถไฟความเร็วสูง
จีน (ปักกิ่ง-เซี่ยงไฮ้) ระยะทางประมาณ 1,280 กม. เริ่มสร้างปี 2008 เปิดให้บริการในปี 2011 (ใช้เวลา 3 ปี) ด้วยงบประมาณ 3.6 หมื่นล้านดอลลาร์ และรองรับผู้โดยสารไปแล้วกว่า 1.35 พันล้านคน
สหรัฐฯ (ซานฟรานซิสโก-ลอสแอนเจลิส) ระยะทางใกล้เคียงกัน เริ่มโครงการปี 2008 ผ่านมา 17 ปี ยังสร้างไม่เสร็จ ได้เพียงส่วนสั้นๆ ที่ไม่ได้เชื่อมต่อเมืองหลัก ใช้งบประมาณไปแล้ว 1.28 แสนล้านดอลลาร์
บทสรุปของเรื่องนี้ชี้ให้เห็นว่า ความแตกต่างทางวัฒนธรรมในการบริหารประเทศระหว่างรัฐวิศวกรของจีน และสังคมนักกฎหมายของสหรัฐฯ อาจเป็นตัวกำหนดทิศทางของโลกในศตวรรษที่ 21 นี้
ที่มา