Dell เผย 5 เทคโนโลยีใหม่ ที่จะเปลี่ยนแปลงชีวิตเราในอีก 10 ปีข้างหน้า

ลองย้อนไป 10 ปีที่แล้ว หรือปี 2009 ตอนนั้นเราเคยจินตนาการถึงเทคโนโลยีใหม่ว่าไงบ้าง จนปัจจุบันเข้าสู่ปี 2019 ตอนนี้มีเทคโนโลยีไหนบ้าง ที่ตรงกับที่เราคิดไว้เมื่อ 10 ปีก่อน ล่าสุดทาง Dell หรือ Dell EMC เผยงานวิจัยที่น่าสนใจอย่าง “Future of Connected Living” หรืออนาคตของการใช้ชีวิตที่เชื่อมต่อเข้าด้วยกัน คาดการณ์อนาคตในอีก 10 ปีข้างหน้า (2030) เผย 5 เทคโนโลยีใหม่ ที่จะเข้ามาเปลี่ยนแปลงชีวิตของเราอย่างสิ้นเชิง

สำหรับงานวิจัยดังกล่าว ก็เกิดจากความร่วมมือกันระหว่าง Dell กับ Institute for the Future หรือ IFTF สถาบันแห่งอนาคต และ Vanson Bourneริษัทวิจัยข้อมูลอิสระชื่อดัง ทำการสำรวจความคิดเห็นของผู้นำทางธุรกิจ 1,100 คนใน 10 ประเทศภายในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิคและประเทศญี่ปุ่น (APJ) ซึ่งรวมถึงประเทศไทยด้วย ส่วนผลการสำรวจ ก็ได้ข้อสรุปสำคัญ 5 ข้อ หรือ 5 เทคโนโลยีใหม่ ที่จะเปลี่ยนแปลงชีวิตเราในอีก 10 ปีข้างหน้าตามนี้

  • เครือข่ายของระบบเสมือนจริง (Networked Reality)

ในอีกสิบปีข้างหน้า ไซเบอร์สเปซจะกลายเป็นภาพซ้อนทับ (overlay) บนความเป็นจริงที่มีอยู่ของเราจากการที่สภาพแวดล้อมทางดิจิทัลของเราขยายออกไปเกินกว่าโทรทัศน์ สมาร์ทโฟน และอุปกรณ์ในการแสดงผลอื่น ๆ

ประมาณว่า ในอีก 10 ปีข้างหน้า ไม่ว่าเราจะไปที่ไหน ก็จะเจอกับเทคโนโลยีเสมือนจริงหรือ Reality ไปทุกที่ การแสดงผลจะไม่ได้อยู่แค่ในจอคอม ทีวี หรือสมาร์ทโฟนอีกต่อไป แต่อาจลามตามกำแพง เสา หรือพื้น ซึ่งตอนนี้เรามี ‘จอพับแล้ว’ ในอนาคตคงมีจอแบบอื่น ๆ หรืออาจเป็น Hologram เลยก็เป็นได้

  • ยานยนต์ที่เชื่อมต่อเข้าหากัน (connected mobility) และความสำคัญของเครือข่ายที่รวมเข้าด้วยกัน (Networked Matter):  สามารถในการเชื่อมต่อและเครือข่ายที่เกี่ยวข้อง

ยานพาหนะในอนาคตจะกลายเป็นคอมพิวเตอร์เคลื่อนที่ได้ เราจะไว้วางใจให้พาหนะเหล่านี้เดินทางไปในทุกที่บนโลกที่สามารถจับต้องได้ใบนี้ในขณะที่ติดต่อปฏิสัมพันธ์กับโลกเสมือนที่พร้อมให้เราเข้าถึงได้ในทุกที่ที่เราอยู่

ปัจจุบันเรามีรถยนต์ไร้คนขับแล้ว หากแต่ยังใช้งานจริงไม่ได้ 100% ซึ่งยังคงต้องปรับแก้ไขอีกหลาย ๆ อย่าง แต่ในอีก 10 ข้างหน้า หรืออาจเร็ว ๆ นี้ เราจะได้ใช้ 5G ซึ่งหลัง 5G มา ก็จะทำให้เทคโนโลยีการเชื่อมต่อแบบไร้สายทรงพลังขึ้นอย่างมาก ที่สำคัญเลยคือ ‘ความเสถียร’ ซึ่งสำคัญมากกับรถยนต์ในอนาคต อาจทำให้มันสามารถประมวลผลการวิ่ง การหลบ และการเดินทางได้แม่นยำขึ้น จนเราไว้ใจให้มันขับแทนได้เลย

  • โซเชียลไลฟ์ของหุ่นยนต์ (Robot with Social Lives)

หุ่นยนต์จะกลายมาเป็นเป็นหุ้นส่วนในชีวิตของเรา ช่วยเพิ่มทักษะและขยายขีดความสามารถของเราในด้านต่างๆ หุ่นยนต์จะแบ่งปันความรู้ที่ได้รับใหม่ไปยังเครือข่ายโซเชียลหุ่นยนต์ (social robot network) ไปยังนวัตกรรม crowdsource และกระตุ้นให้เกิดความก้าวหน้าในแบบเรียลไทม์

อาจไม่ถึงขึ้นเป็นหุ่นยนต์เหมือนมนุษย์แบบในหนัง แต่จะเป็นหุ่นยนต์ผู้ช่วยในรูปแบบต่าง ๆ ที่จะมาช่วยให้เราทำงานได้มีประสิทธิภาพขึ้นหลายเท่า

  • จาก ดิจิทัล ซิตี้ (Digital Cities) ไปสู่ เซนเทียน ซิตี้ (Sentient Cities) หรือเมืองที่มีความรู้สึก

เมืองต่างๆ จะลุกขึ้นมามีชีวิตผ่านทางเครือข่ายต่างๆ ทั้งของโครงสร้างพื้นฐานของทั้งวัตถุอัจฉริยะ (smart objects) ระบบการรายงานผลด้วยตัวเอง (self-reporting systems) และการวิเคราะห์ด้วยพลังของ AI ที่รวมเข้าเป็นเครือข่ายเดียวกัน

เมืองแห่งอนาคต หรือ Smart City มาแน่นอน เกือบทุกสิ่งจะสามารถเชื่อมต่อถึงกันได้ ทำงานด้วยตัวเองได้ราวกับมีชีวิต ซึ่งทั้งหมดจะทำงานหรือวิเคราะห์ข้อมูลผ่านเครือข่ายความเร็วสูง

  • ผู้ช่วยและระบบกฏเกณฑ์ขั้นตอนวิธีต่างๆ (Agents and Algorithms)

พวกเราแต่ละคนจะได้รับการดูแลสนับสนุนจาก “ระบบปฏิบัติการเพื่อการดำรงชีวิต” (operating system for living) ที่เป็นส่วนตัว ที่สามารถคาดเดาได้ถึงความต้องการของเรา และให้การสนับสนุนภาระกิจต่างๆของเราในแต่ละวันในแบบเชิงรุกเพื่อทำให้มีเวลาว่างเพิ่มมากยิ่งขึ้น

ต่อไปเราทุกคนจะมี OS ส่วนตัว หรือระบบปฏิบัติการที่คอยให้คำแนะนำการดำรงชีวิต แบบของใครของมันเลย ซึ่งแต่ละคนจะได้รับคำแนะนำไม่เหมือนกัน เสมือนมีผู้ช่วยอัจฉริยะที่จะคอยแจ้งเตือน ซึ่งจะไม่ใช่แค่แจ้งเตือนธรรมดา แต่มีการคิดวิเคราะห์มาอย่างดี จนคาดเดาได้ถึงความต้องการของเราได้เหมาะสม

“ความสัมพันธ์ที่จะประสบความสำเร็จมากที่สุดระหว่างมนุษย์และเครื่องจักรคือ ความสัมพันธ์ในระยะยาวของเผ่าพันธ์ที่แตกต่าง (symbiotic) และใช้ประโยชน์จากจุดแข็งต่างๆ ที่เกื้อกูลกัน”

ปัง ยี เบ็ง รองประธานอาวุโส ภูมิภาคเอเชียใต้ เดลล์ เทคโนโลยีส์

จาก 5 เทคโนโลยีดังกล่าว จุดที่สังเกตได้เลยคือ การรวมกันของ 4 เทคโนโลยี อาทิ 5G , AI , Extended Reality และ IoT ที่ในปี 2030 จะมีการพัฒนาจนสามารถเปลี่ยนแปลงชีวิตของเราได้เลย ปัจจุบันเรามีสมาร์ทโฟนเปลี่ยนชีวิต แต่ใน 10 ปีข้างหน้าอาจเปลี่ยนเป็น 4 เทคโนโลยีดังกล่าวนี้เอง

ทางด้านคุณ นพดล ปัญญาธิปัตย์ กรรมการผู้จัดการประจำประเทศไทย เดลล์ เทคโนโลยีส์ ก็ได้กล่าวเพิ่มเติมว่า “เทคโนโลยีเกิดใหม่ต่างๆ จะปฏิรูปและเปลี่ยนแปลงชีวิตของเราไปในรูปแบบที่เราไม่เคยสัมผัสมาก่อน” ทั้งนี้ทางคุณนพดลก็ได้มองด้วยว่า ประเทศไทยควรมีการกำกับดูแลด้าน AI กับการชำระเงินผ่านโทรศัพท์เคลื่อนที่ ไปจนถึงการสร้างอัตลักษณ์ดิจิทัล (digital identities) ท้ายนี้ควรพูดคุยและค้นหาแนวทางในการร่วมมือ ระหว่างมนุษย์และเครื่องจักรที่ครบถ้วนสมบูรณ์ด้วยในอนาคต

แล้วเราจะรับมืออย่างไร ?

จริง ๆ ต้องบอกเลยว่า เรามีเวลาถึง 10 ปี ในการเรียนรู้เทคโนโลยีดังกล่าว จากนั้นก็เตรียมตัวหรือวางแผนการใช้งานให้เกิดประสิทธิภาพมากที่สุด เช่น 5G กำลัง เราจะมีแผนพัฒนาบริการอะไร ให้ใช้ประโยชน์จาก 5G ได้มากที่สุด สร้างเป็นโอกาสทางธุรกิจในอนาคตนั้นเองครับ