เปลี่ยนประสบการณ์ Hybrid Workplace สำหรับธุรกิจขนาดเล็กให้ทันสมัย ด้วยโซลูชันใหม่ Aruba Edge Connect Microbranch

โซลูชันนี้จะช่วยให้ผู้ที่ทำงานจากที่บ้านสามารถใช้งานได้ด้วยประสบการณ์ที่เหมือนการทำงานในออฟฟิศ ด้วยการเชื่อมระบบ SD-WAN และ SASE Security Services ผ่าน Access Point เพียงชุดเดียว ไม่ต้องติดตั้ง Gateway หรือ Agent อีกต่อไป

วันที่ 22 ธันวาคม พ.ศ. 2564 อรูบ้า (Aruba) บริษัทในเครือ Hewlett Packard Enterprise (NYSE: HPE) ได้ประกาศเปิดตัว EdgeConnect Microbranch โซลูชันใหม่ล่าสุดสำหรับระบบเครือข่ายที่ใช้บ้านเป็นออฟฟิศและออฟฟิศขนาดเล็กเพื่อรองรับการทำงานแบบ Hybrid Work ซึ่งจะช่วยให้พนักงานที่ทำงานจากที่บ้านนั้นได้รับประสบการณ์แบบเดียวกับการทำงานที่ออฟฟิศ ด้วยการใช้ Wi-Fi Access Point (AP) เพียงชุดเดียว ไม่ต้องมีการติดตั้ง Gateway, Agent หรืออุปกรณ์ใดๆ ที่ปลายทางอีกต่อไป

ด้วยการใช้ Edge Connect Microbranch ฝ่ายไอทีขององค์กรจะสามารถมั่นใจได้ในการส่งมอบประสบการณ์การทำงานที่ดีแก่พนักงาน ไม่ว่าพนักงานคนนั้นจะทำงานจากที่ใดก็ตาม ซึ่ง EdgeConnect Microbranch นี้จะมีความสามารถในการเชื่อมต่อเครือข่ายจากภายนอกไปยังสาขาหลักของธุรกิจได้อย่างครบถ้วน ช่วยให้แก้ไขปัญหาได้อย่างรวดเร็วยิ่งขึ้น และยังคงปกป้ององค์กรได้ด้วยการใช้เฟรมเวิร์คด้านความมั่นคงปลอดภัยอย่าง Zero Trust และ Secure Access Services Edge (SASE) ที่จะช่วยปกป้องออฟฟิศของธุรกิจขนาดเล็กและการทำงานจากที่บ้านได้อย่างครอบคลุม

โซลูชัน EdgeConnect Microbranch ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของ Aruba ESP (Edge Services Platform) ประกอบไปด้วย AP และบริการ SD-WAN ใหม่ ซึ่งพัฒนาต่อยอดจากประสบการณ์ในการให้บริการด้านการเชื่อมต่อ, การรักษาความมั่นคงปลอดภัย และการติดตั้งใช้งานแบบ Zero Touch ของ Aruba ที่มีอยู่ไปสู่ธุรกิจขนาดเล็กผ่านอุปกรณ์ Remote Access Point (RAP) ยอดนิยม

เดิมที SD-WAN นั้นถูกติดตั้งใช้งานภายในสาขาขนาดใหญ่และออฟฟิศหลักเพื่อจัดการกับความต้องการในการใช้งานแอปพลิเคชันให้มีประสิทธิภาพ, ความมั่นคงทนทาน และความปลอดภัยที่สูงยิ่งขึ้น อย่างไรก็ดีในปัจจุบัน Hybrid Work ได้กลายเป็นรูปแบบการทำงานหลัก ที่บ้านของพนักงานและสาขาขนาดเล็ก จึงจำเป็นต้องบริหารจัดการการส่งข้อมูลให้เป็นตามนโยบายที่กำหนดได้อย่างอัตโนมัติ และการรักษาความมั่นคงปลอดภัยด้วยบริการ SASE ในรูปแบบ Cloud จาก Aruba SD-WAN ด้วยเช่นกัน ทั้งนี้เพื่อตอบสนองความต้องการในการทำงานจากที่บ้านและภายนอกองค์กรที่กำลังเติบโตนี้ให้เป็นไปได้อย่างมีประสิทธิภาพ, มั่นคงทนทาน และปลอดภัย โดย IDC ได้ประเมินว่าองค์กรในกลุ่ม G2000 กว่า 70% จะต้องมีการทำงานจากระยะไกลหรือทำงานในแบบ Hybrid-First และเปลี่ยนแปลงวิธีการทำงานไปโดยสิ้นเชิง (IDC, IDC FutureScape : Worldwide Future of Work Predictions, November 2021)

สำหรับองค์กรธุรกิจ กุญแจสำคัญสู่ความสำเร็จในการทำงานจากระยะไกลได้อย่างยืดหยุ่นนี้ก็คือการที่พนักงานที่ทำงานแบบ Hybrid สามารถเข้าถึงเครื่องมือ, แอปพลิเคชัน และความสามารถที่จำเป็นต่อการทำงานจากที่บ้านได้เสมือนกับทำงานในออฟฟิศ ซึ่งโซลูชัน EdgeConnect Microbranch สามารถตอบโจทย์นี้ได้ด้วยการเพิ่มบริการ SD-WAN และ SASE เข้าไปในการเชื่อมต่อ, การควบคุมการใช้งานตามสิทธิ, การบริหารจัดการ และการวิเคราะห์ข้อมูล ตามที่เคยได้รับบน Aruba RAP โดยไม่ต้องมีการเพิ่มอุปกรณ์ หรือ ติดตั้งซอฟต์แวร์ Agent ในอุปกรณ์ใดๆ ซี่งการที่ไม่ต้องเพิ่มอุปกรณ์ใดๆ ที่บ้านของพนักงาน, ออฟฟิศขนาดเล็ก หรือพื้นที่ชั่วคราวที่มีข้อจำกัดด้านพื้นที่และไม่มีบุคลากร IT ประจำอยู่นี้ก็ถือเป็นประเด็นที่สำคัญ อย่างเช่น การใช้งานในหน้าร้านชั่วคราว, จุดติดตั้ง Kiosk หรือ ศูนย์บริการสุขภาพเคลื่อนที่ เป็นต้น

บริการ EdgeConnect Microbranch ถูกพัฒนาขึ้นมาโดยมุ่งเน้นการเอาชนะความท้าทายในการทำงานจากระยะไกลเป็นหลัก อย่างเช่น การรับประกันประสิทธิภาพในแง่การตอบสนองของแอปพลิเคชันในกลุ่ม Unified Communication and Collaboration (UCC) ในขณะที่ยังคงต้องมั่นใจได้ในความมั่นคงปลอดภัย และรองรับอุปกรณ์เครือข่ายที่ต้องการแบนด์วิดธ์สูงในจำนวนที่มากขึ้น

บริการของ EdgeConnect Microbranch ที่เปิดตัวมาใหม่นี้มีความสามารถที่หลากหลาย เช่น การทำ Policy-based Routing ที่ช่วยให้ฝ่ายไอทีสามารถทำการปรับปรุงเส้นทางการรับส่งข้อมูลของแอปพลิเคชันได้ และการทำ Air Slice ที่สามารถแบ่งส่วนสัญญาณของ AP ไปรองรับแอปพลิเคชันเฉพาะ เพื่อเพิ่มคุณภาพการเชื่อมต่อเครือข่ายด้วยการปรับให้ระบบ Video Conference ได้รับความสำคัญที่สูงกว่าระบบ Video เพื่อความบันเทิง และทำการส่งทราฟฟิกของระบบ Video Conferencing ตรงไปยังผู้ให้บริการ SaaS ที่ได้รับความเชื่อถือโดยไม่ต้องส่งกลับ Data Center เพื่อทำการตรวจสอบที่ไม่จำเป็น เป็นต้น

“EdgeConnect Microbranch ช่วยให้องค์กรมีแนวทางใหม่ที่ทันสมัยและรองรับผู้ใช้งานจำนวนมากในการทำงานจากระยะไกล และสร้างประสบการณ์การทำงานจากที่บ้านให้ทัดเทียมกับการทำงานในออฟฟิศได้” Larry Lunetta ผู้ดำรงตำแหน่ง VP of Solutions Portfolio Marketing แห่ง Aruba บริษัทในเครือ Hewlett Packard Enterprise กล่าว “ในขณะที่บางคนยังคงเชื่อว่า ความปลอดภัยเป็นความสามารถเดียวที่จะขยายไปถึง AP/Router ได้ ซึ่งโดยมากจะต้องมีการเพื่อเติมอุปกรณ์เพื่อการนี้ แต่ EdgeConnect Microbranch สามารถตอบโจทย์ทั้งหมดได้อย่างครอบคลุมด้วยการใช้แนวทางแบบ Cloud ทำให้บริการด้านระบบเครือข่ายทั้งหมดขององค์กรสามารถเพิ่มขยายไปสู่ระบบเครือข่ายที่บ้านได้อย่างครบถ้วนผ่าน Access Point เพียงชุดเดียวเท่านั้น”

ด้วยการเสริมประสบการณ์การทำงานจากที่บ้านผ่าน RAP ด้วยความสามารถ SD-WAN นี้ ทำให้ EdgeConnect Microbranch กลายเป็นโซลูชันในอุดมคติสำหรับการทำงานแบบ Hybrid เช่น การทำงานในระบบ Contact Center, การให้บริการ Telehealth และการบริหารจัดการระบบไอที ซึ่งความต่อเนื่องในการเชื่อมต่อและการรักษาความมั่นคงปลอดภัยล้วนเป็นสิ่งสำคัญ

EdgeConnect Microbranch คือโซลูชันชั้นนำของวงการที่เหนือกว่าแนวทางแบบดั้งเดิมซึ่งเคยต้องติดตั้งอุปกรณ์จำนวนมากภายในออฟฟิศขนาดเล็กหรือที่บ้าน เพื่อนำเสนอบริการ SD-WAN และ SASE หรือเมื่อเทียบกับระบบทั่วไปที่มักใช้อุปกรณ์ในระดับผู้บริโภคสำหรับรองรับการทำงานเพียงอย่างใดอย่างหนึ่ง ซึ่งขาดทั้งความสามารถในการบริหารจัดการและการทำงานที่ครอบคลุม

รวมความสามารถใหม่และคุณประโยชน์จาก SD-WAN ได้ โดยไม่ต้องติดตั้งอุปกรณ์ Gateway เพิ่มเติม

  • Policy-based Routing: ช่วยให้ฝ่ายไอทีให้บริการแอปพลิเคชันได้อย่างมีประสิทธิภาพและมั่นคงปลอดภัยบนนโยบายที่กำหนดเอาไว้และบังคับใช้โดยอัตโนมัติ เพื่อให้สอดรับต่อ Service-Level Agreement (SLA) สำหรับแอปพลิเคชัน, เว็บไซต์ และกลุ่มของผู้ใช้งานที่ต้องการ
  • Tunnel and Route Orchestration: ปรับปรุงประสิทธิภาพของระบบเครือข่ายด้วยการจัดการ VPN Tunnel ได้ตามต้องการ และปรับเปลี่ยนเส้นทางการรับส่งข้อมูลไปใช้งานเส้นทางที่มีประสิทธิภาพสูงที่สุดโดยอัตโนมัติ
  • SASE Integration: ให้บริการการเชื่อมต่อที่มั่นคงปลอดภัยไปยังบริการ Cloud Security อย่างเช่น Zscaler โดยตรงผ่าน AP โดยมี Aruba Central คอยบริหารจัดการการเชื่อมต่อและการตั้งค่าจากศูนย์กลาง
  • Enhanced WAN Visibility: แก้ไขปัญหาได้อย่างรวดเร็วยิ่งขึ้นและสร้างประสบการณ์ที่ดีให้กับผู้ใช้งานด้วยการอัปเดตข้อมูลด้านความพร้อมในการให้บริการ, สัดส่วนการใช้งาน, และปริมาณการใช้งานของ WAN ด้วยการตรวจสอบ Latency, Jitter และประเด็นปัญหาในการเชื่อมต่ออื่นๆ ที่ส่งผลกระทบต่อ ISP ที่เดิมทีฝ่ายไอทีไม่สามารถตรวจสอบได้มาก่อน

ความสามารถเหล่านี้ถูกพัฒนาต่อยอดมาจากความสามารถเดิมของโซลูชัน Aruba Remote Access ได้แก่:

  • Traffic Prioritisation: แบ่งคลื่นสัญญาณให้กับแอปพลิเคชันหนึ่งๆ และปรับเปลี่ยนการจัดสรรนี้เมื่อเซสชันของแอปพลิเคชันนั้นเริ่มต้นหรือจบลง
  • Massive Scalability: สนับสนุนการติดตั้งใช้งานแบบ Zero Touch และบริหารจัดการผู้ใช้งานได้หลายหมื่นรายผ่านบริการ Cloud ของ Aruba Central และ AOS 10
  • Improved Uptime and Reliability: ใช้เครื่อข่ายโทรศัพท์เคลื่อที่เป็นเส้นทางสำรองได้ผ่าน USB ในกรณีที่การเชื่อมต่อไปยังที่บ้านหรือออฟฟิศขนาดเล็กผ่าน ISP ขาดหายไป

“เมื่อแนวโน้มการทำงานจากระยะไกลกำลังเติบโตอย่างต่อเนื่อง ฝ่ายไอทีจะต้องเผชิญกับความท้าทายหลายประการมากยิ่งขึ้น ไม่ว่าจะเป็นการตรวจสอบการเชื่อมต่อให้ได้อย่างมั่นใจ, การบริหารจัดการให้ได้อย่างง่ายดาย และการปกป้องทุกการเชื่อมต่อกับแอปพลิเคชันหรือข้อมูลสำคัญให้มั่นคงปลอดภัยสำหรับพนักงานทุกคนจากทุกสถานที่” Chris DePuy นักวิเคราะห์เทคโนโลยีแห่ง 650 Group กล่าว “การเพิ่มขยายเฟรมเวิร์ค Zero Trust และ SASE ไปยังที่บ้านหรือออฟฟิศขนาดเล็กได้นี้จะมีบทบาทสำคัญเป็นอย่างมากต่อองค์กรที่ต้องการมุ่งไปสู่การทำงานแบบ Hybrid Workplace”

ราคาและการวางจำหน่ายโซลูชัน Aruba EdgeConnect Microbranch นี้เปิดให้ใช้งานได้แล้วในแบบ Early Access และเปิดให้ใช้งานได้ทั่วไปในเดือนมีนาคมปีหน้าสำหรับทุกอุปกรณ์ AP ที่ใช้งาน ArubaOS 10 ซึ่งติดตั้ง Foundation AP License (รวมถึง AP ที่รองรับซึ่งถูกใช้งานและบริหารจัดการด้วย Central) Aruba Central Foundation License จะวางจำหน่ายที่ราคา $145 ต่อ AP ในส่วนราคาของอุปกรณ์ AP จะแตกต่างกันออกไปในแต่ละรุ่น โดยจะมีราคาเริ่มต้นที่ $575.00 สำหรับ รุ่น Aruba 303H Series