เมื่อพูดถึงเครื่องครัว หลายคนอาจนึกถึงภาพการตีเหล็กหรือการขึ้นรูปโลหะแบบเดิม ๆ แต่รู้หรือไม่ว่า ในนิคมอุตสาหกรรมแหลมฉบัง จ.ชลบุรี ประเทศไทยเราเป็นที่ตั้งของฐานการผลิตเครื่องครัวที่ใหญ่ที่สุดในโลกของ Meyer Group แบรนด์ระดับท็อปโลก และสิ่งที่ขับเคลื่อนโรงงานมูลค่า 7,000 ล้านบาทแห่งนี้ ไม่ใช่แค่แรงงานคน แต่คือ เทคโนโลยีการผลิตขั้นสูง ที่เปลี่ยนภาพจำของโรงงานผลิตหม้อและกระทะ ให้กลายเป็น Smart Factory เต็มรูปแบบ
Techhub พาบุกโรงงาน บริษัท ไมย์เออร์ อินดัสตรีส์ จำกัด เพื่อไขความลับว่า พวกเขาใช้เทคโนโลยีอะไรในการผลิตเครื่องครัวได้ถึง 120,000 ชิ้นต่อวัน โดยที่มาตรฐานเป๊ะทุกระเบียบนิ้ว พร้อมเจาะลึกนวัตกรรมเคลือบผิวและกระจายความร้อนที่ทำให้ Meyer ยืนหนึ่งในตลาดโลก
1. Automation & Robotics กุญแจสำคัญของการผลิต 24 ชั่วโมง

โจทย์ใหญ่ของการผลิตระดับ Mass Production ที่ต้องส่งออกไปทั่วโลก คือทำอย่างไรให้สินค้าหลักแสนชิ้น มีคุณภาพ เหมือนกัน ทุกชิ้น และต้องผลิตได้ทันความต้องการ คำตอบของ Meyer คือการทรานส์ฟอร์มสู่ระบบอัตโนมัติ (Automation) และการใช้แขนกลหุ่นยนต์ เข้ามาแทนที่ในจุดที่สำคัญ
ทำไมต้องใช้หุ่นยนต์? คุณคมกฤษณ์ วงษ์กวีวัฒนกูล ผู้อำนวยการฝ่ายการผลิต เผยข้อมูลที่น่าสนใจว่า ข้อดีที่สุดของระบบ Automation คือความสามารถในการทำงานต่อเนื่อง 24 ชั่วโมง โดยไม่มีความเหนื่อยล้า ซึ่งเป็นสิ่งที่แรงงานมนุษย์ทำไม่ได้ สิ่งนี้ส่งผลโดยตรงต่อต้นทุนการดำเนินงาน ที่ลดลงอย่างมหาศาล และเพิ่มประสิทธิภาพ ได้อย่างก้าวกระโดด
หนึ่งในขั้นตอนที่ยากที่สุดในการทำเครื่องครัว คือ การขัดผิว เพื่อให้สแตนเลสเงางาม หรือลบคมขอบกระทะ เดิมทีงานนี้ต้องใช้ช่างฝีมือที่มีความชำนาญสูง ซึ่งมีความเสี่ยงเรื่องความไม่สม่ำเสมอจากน้ำหนักมือที่ไม่เท่ากัน
Meyer แก้ปัญหานี้ด้วยการใช้ แขนกลหุ่นยนต์ ที่มาพร้อมเซนเซอร์ตรวจจับแรงบิด เทคโนโลยีนี้ช่วยให้หุ่นยนต์สามารถ
- ควบคุมแรงกดได้คงที่ ไม่ว่าใบขัดจะสึกหรอไปแค่ไหน หุ่นยนต์จะปรับแรงกดให้ชิ้นงานออกมาเรียบเสมอกัน ทุกตารางมิลลิเมตร ผิวสัมผัสจึงเนียนกริบเป็นมาตรฐานเดียวกันทุกชิ้น
- ลดความเสี่ยง งานขัดก่อให้เกิดฝุ่นโลหะและเสียงดัง การใช้หุ่นยนต์ช่วยให้พนักงานไม่ต้องเสี่ยงกับปัญหาสุขภาพ และย้ายไปทำงานในส่วนควบคุมเครื่องจักรแทน
นอกจากนี้ ในกระบวนการเคลื่อนย้ายชิ้นงาน ระหว่างเครื่องปั๊มขึ้นรูปขนาดใหญ่ ยังใช้ระบบแขนกลหยิบจับอัตโนมัติ ที่มีความแม่นยำสูง ช่วยลดอุบัติเหตุจากการทำงาน และทำให้ Flow การผลิตลื่นไหลไม่มีสะดุด รองรับเป้าหมาย 120,000 ชิ้นต่อวันได้อย่างสบาย
2. Advanced Surface Engineering ศาสตร์แห่งการเคลือบผิวระดับไมครอน

จุดขายของ Meyer ที่ทั่วโลกยอมรับคือความลื่นและความทนทาน ของสารเคลือบ ซึ่งเบื้องหลังความลื่นนี้ คือเทคโนโลยีวิศวกรรมพื้นผิวที่ซับซ้อนกว่าการพ่นสีทั่วไป
เทคโนโลยี Curtain Coating ม่านน้ำยาอัจฉริยะ สำหรับการเตรียมแผ่นโลหะดิบ ก่อนขึ้นรูป โรงงานใช้เทคโนโลยีที่เรียกว่า Curtain Coating หลักการคือการปล่อยน้ำยาเคลือบลงมาเป็นม่าน ที่ต่อเนื่องและสม่ำเสมอ ในขณะที่แผ่นโลหะวิ่งผ่านสายพานด้วยความเร็วสูง
ข้อดีคือ สามารถสร้างฟิล์มเคลือบที่มีความหนาสม่ำเสมอระดับไมครอนทั่วทั้งแผ่น และมีประสิทธิภาพการใช้น้ำยาเกือบ 100% แทบไม่มีการสูญเสียน้ำยาเหมือนการพ่นฝอย ช่วยลดต้นทุนสารเคลือบราคาแพงได้มหาศาล
3. Heat Distribution Tech นวัตกรรมกระจายความร้อน เพื่อรสชาติอาหารที่ดีกว่า

เคยสงสัยไหมว่าทำไมกระทะ Meyer ถึงร้อนเร็วและร้อนทั่วถึง? คำตอบอยู่ที่โครงสร้างของก้นกระทะที่ผ่านกระบวนการทางวิศวกรรมโลหะขั้นสูง
Impact Bonding Technology การอัดกระแทกด้วยแรงดันสูง นี่คือเทคโนโลยีที่ทำให้กระทะสแตนเลส (ซึ่งปกติจะนำความร้อนได้ช้า) สามารถกระจายความร้อนได้ดีเยี่ยม Meyer ใช้วิธีการทำก้นกระทะแบบแซนด์วิช โดยแทรกแผ่นอลูมิเนียม (นำความร้อนดี) ไว้ตรงกลางระหว่างสแตนเลส
ความเจ๋ง คือ สิ่งนี้ไม่ได้ใช้กาวเชื่อม แต่ใช้เครื่องปั๊มแรงดันสูง อัดกระแทกให้โลหะทั้ง 3 ชั้นผสานเป็นเนื้อเดียวกันอย่างสมบูรณ์ เทคนิคนี้ทำให้ความร้อนส่งผ่านจากเตา โดยเฉพาะเตาไฟฟ้า กระจายไปยังทั่วกระทะได้อย่างรวดเร็วและสม่ำเสมอ อาหารจึงสุกทั่วกัน ไม่ไหม้เป็นจุด ๆ
Hard Anodization แกร่งกว่าสแตนเลส 2 เท่า โดยอีกหนึ่งเทคโนโลยีที่เป็นเอกลักษณ์คือการทำ Hard Anodized ซึ่งเป็นกระบวนการไฟฟ้าเคมี ที่เปลี่ยนผิวอลูมิเนียมธรรมดาให้กลายเป็นชั้นออกไซด์ที่แข็งแกร่งมาก
ผลลัพธ์ คือได้วัสดุที่มีความแข็งกว่าสแตนเลสถึง 2 เท่า ทนทานต่อการขีดข่วนและการกัดกร่อน แต่ยังคงคุณสมบัติการนำความร้อนที่ดีของอลูมิเนียมไว้ครบถ้วน โดย Meyer ใช้ระบบเครนอัตโนมัติ ในการจุ่มชุบเคมี ควบคุมเวลาแม่นยำระดับวินาที เพื่อให้ได้ความหนาของผิวตามสเปก
4. AI & Data Driven เมื่อโรงงานมองเห็นด้วย AI

ในยุค Industry 4.0 การผลิตแสนกว่าชิ้นต่อวัน จะใช้คนมานั่งนับหรือส่องหารอยตำหนิคงไม่ทันการ Meyer จึงนำ Artificial Intelligence และ Computer Vision มาใช้ร่วมกับกล้องความละเอียดสูง
ระบบนี้ใช้เทคโนโลยี Deep Learning ที่ถูกเทรนด้วยภาพสินค้าหลายพันรูปแบบ ทำให้ AI สามารถ
- นับจำนวนสินค้า แม่นยำกว่า 97% แบบ Real-time ตัดปัญหา human error ในการนับสต็อก
- ตรวจสอบคุณภาพ โดย AI สามารถสแกนหารอยขีดข่วน หรือรอยบุบ ที่สายตามนุษย์อาจมองพลาดเมื่อเกิดความล้า คัดแยกของเสีย ออกจากไลน์ผลิตทันที
นอกจากนี้ เบื้องหลังทั้งหมดยังรันอยู่บนโครงสร้างพื้นฐานไอทีแบบ Hyperconverged Infrastructure ที่เชื่อมโยงข้อมูลจากเครื่องจักร สู่ระบบบริหารจัดการ ทำให้ผู้บริหารเห็นข้อมูลการผลิตทั้งหมดได้ทันที นี่คือตัวอย่างของการเป็น Data-Driven Factory อย่างแท้จริง
5. เปิดตัว Prestige บุกตลาด Mass ครั้งแรก!

จากเทคโนโลยีการผลิตระดับโลกที่กล่าวมาข้างต้น นำมาสู่ก้าวสำคัญในปีนี้ เมื่อ Meyer ตัดสินใจนำนวัตกรรมเหล่านั้นมาสร้างสรรค์ผลิตภัณฑ์ที่เข้าถึงคนไทยได้ง่ายขึ้น ด้วยการเปิดตัวแบรนด์ Prestige เจาะตลาด Mass Market อย่างเป็นทางการ
Prestige Made to Last – ของดีไม่จำเป็นต้องแพง โดยคุณโจเซฟ โล ผู้บริหารของไมย์เออร์ เผยว่า เป้าหมายของ Prestige คือการตอบโจทย์ คนรักการทำอาหารรุ่นใหม่ หรือผู้อยู่อาศัยในคอนโด ที่ต้องการเครื่องครัวคุณภาพดี ในราคาที่จับต้องได้ ในราคาเริ่มต้นหลักร้อย แต่ยังได้เทคโนโลยีการผลิตมาตรฐานเดียวกับแบรนด์รุ่นพี่
จุดเด่นของ Prestige คอลเลคชั่นใหม่
- สแตนเลสคุณภาพสูง ทนทานต่อรอยขีดข่วน ไม่เป็นสนิมง่าย ปลอดภัยไร้สารเคมีตกค้าง
- ฐานเหนี่ยวนำเต็มแผ่น ใช้เทคโนโลยี Impact Bonding กระจายความร้อนได้ทั่วถึง และที่สำคัญคือใช้ได้กับเตาทุกประเภท รวมถึงเตาแม่เหล็กไฟฟ้า ที่ชาวคอนโดนิยมใช้
- Design & Function ด้ามจำทนความร้อน ไม่ร้อนมือ ดีไซน์ทันสมัย ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์คนเมือง
การเปิดตัว Prestige ครั้งนี้ ไม่ใช่แค่การขายของ แต่เป็นการประกาศว่า Meyer พร้อมนำเทคโนโลยีโรงงานระดับโลก มายกระดับห้องครัวของคนไทยทุกคน ภายใต้แนวคิด If you cook, you’re chef พร้อมตั้งเป้ายอดขายโต 25% ภายในปี 2569 รับเทรนด์คนไทยกลับมาทำอาหารกินเองที่บ้านมากขึ้น

ใครที่กำลังมองหาเครื่องครัวใบใหม่ ที่มีเบื้องหลังการผลิตสุดล้ำ การันตีคุณภาพระดับส่งออก ในราคาที่คบหาได้ลองไปดู Prestige กันได้ครับ








