[Hybrid AI] เป็นที่ชัดเจนแล้วว่า AI ถูกนำมาใช้งานจริงในภาคธุรกิจ ทว่าหลายองค์กรจะไม่สามารถพึ่งพา AI รูปแบบใดรูปแบบหนึ่งได้อีกต่อไป แนวทางที่ดีที่สุดคือการใช้ “Hybrid AI” ที่ผสมผสานระหว่าง Public AI , Private AI และ Personal AI ซึ่งอาจนำไปสู่การทำงานยุคใหม่ ที่เปลี่ยนไปตลอดกาล
เปิดข้อมูลจาก Lenovo’s CIO Playbook 2025 ที่ทาง Lenovo ได้สำรวจผ่านแบบสอบถามทั่วโลกกว่า 2,900 คน ซึ่งมีทั้งเหล่าผู้บริหารและผู้มีอำนาจตัดสินใจด้านไอทีกว่า 900 คน ใน 12 ตลาดทั่วเอเชีย มาให้ข้อมูลการใช้งาน AI ภาคธุรกิจในปัจจุบัน พบการลงทุนด้าน AI ที่จะต้องมี ROI หรือผลตอบแทนของการลงทุนเข้ามาเป็นตัวขับเคลื่อนด้วย
“มีแผนลงทุนด้าน AI ที่เพิ่มขึ้นถึง 3.3 เท่า ส่วนธุรกิจในอาเซียนพลัส มีแผนการลงทุนด้าน AI ที่เพิ่มขึ้น 2.7 เท่า”
สืบเนื่องจากไทย เป็นหนึ่งในอาเซียนพลัส ที่ประกอบไปด้วย ไทย , สิงคโปร์ , ฮ่องกง , ไต้หวัน , ฟิลิปปินส์ , มาเลเซีย และอินโดนีเซีย พบมีการลงทุนในเทคโนโลยี AI ที่โตขึ้นอย่างรวดเร็ว โดยเฉพาะอย่างยิ่งในไทย ที่ได้มีการวางแผนสร้างประโยชน์จากเทคโนโลยีดังกล่าวอย่างจริงจัง เนื่องด้วยแผนปฏิบัติการด้านปัญญาประดิษฐ์แห่งชาติเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (พ.ศ. 2565 – 2570) ที่มุ่งเน้นการพัฒนานวัตกรรมดังกล่าวนี้เอง
อย่างไรก็ตาม มีรายงานว่า 47% ของธุรกิจในกลุ่มอาเซียนพลัส พบเพิ่งประยุกต์ใช้ AI ในขั้นเริ่มต้นเท่านั้น เพราะติด ROI โดยจากผลสำรวจพบว่า สิงคโปร์เป็นผู้นำในกลุ่มอาเซียนพลัส และเป็นศูนย์กลางระดับภูมิภาคด้วยความพร้อมด้าน AI ที่ล้ำหน้า ทว่าตลาดอื่น ๆ ในกลุ่มอาเซียนพลัส กลับยังอยู่ในช่วงเริ่มต้นนำ AI มาใช้ เนื่องจากข้อจำกัดด้านทรัพยากรและความเชี่ยวชาญ
“การเสริมประสิทธิภาพให้การทำงานของพนักงานด้วย AI” จึงนับเป็นหัวข้อที่ธุรกิจในกลุ่มอาเซียนพลัสให้ความสำคัญ
ประเด็นด้านจริยธรรม ก็ยังคงเป็นความความเสี่ยงอันดับแรกของการใช้งาน AI ทว่ามีเพียง 24% ของธุรกิจในอาเซียนพลัสเท่านั้น ที่มีการดำเนินการนโยบาย GRC หรือการกำกับดูแลและกฎเกณฑ์ของ AI โดยสมบูรณ์ นอกนั้นคือขาดกรอบการทำงานด้านจริยธรรม ความปลอดภัย และการควบคุมดูแลที่ชัดเจน
ด้วยเหตุนี้เอง จึงเป็นที่มาของการใช้ Hybrid AI ในภาคธุรกิจ ที่มีการผสมผสานระหว่าง Public AI โมเดล AI ขนาดใหญ่บนคลาวด์สาธารณะ Private AI โมเดล AI ที่สร้างขึ้นและใช้งานภายในองค์กร เพื่อความปลอดภัยของข้อมูล และ Personal AI โมเดล AI ที่ทำงานบนอุปกรณ์ส่วนบุคคล เช่น คอมฯ หรือสมาร์ทโฟน เพื่อการทำงานที่รวดเร็วและเป็นส่วนตัว ซึ่งทั้ง 3 ส่วนนี้ จะช่วยให้องค์กรมีการใช้งาน AI ได้มีประสิทธิภาพมากขึ้น กับมีความปลอดภัย และความสามารถในการปรับแต่งให้เข้ากับความต้องการเฉพาะ
ด้าน Lenovo ก็กล่าวสนับสนุนการใช้งาน Hybrid AI ด้วย พร้อมเผยว่าการวางระบบโครงสร้างพื้นฐานด้านไอทีแบบไฮบริดนั้น ตอบโจทย์ในการใช้งานในทุกด้าน ไม่ว่าจะเป็น ความสามารถในการขยายและลดขนาดตามความต้องการ และการควบคุมที่ทำได้อย่างสะดวก โดยมี 63% ของธุรกิจทั่วโลกเลือกใช้ การวางโครงสร้างพื้นฐานในการจัดเก็บและจัดการข้อมูลของบริษัทแบบ on-premise และแบบไฮบริด เพื่อรองรับการใช้งาน AI ที่หลากหลายขึ้นในอนาคต
และ Lenovo ในฐานะผู้นำทางเทคโนโลยีที่นำเสนอโซลูชั่น AI ที่ครบครันรอบด้านสำหรับธุรกิจ , ให้บริการระบบโครงสร้างพื้นฐานไอทีที่อัจฉริยะ และเป็นพาร์ทเนอร์ที่มีประสิทธิภาพสำหรับธุรกิจในทุกประเภทภายใต้วิสัยทัศน์ Smarter AI for All ก็พร้อมเป็นตัวช่วยให้แก่ธุรกิจทุกระดับ