เน้นยั่งยืน ส่องโรงงาน Michelin ผลิตยางรถ ยันล้อเครื่องบิน

[Top Stories] หากพูดถึงยางรถยนต์ในปัจจุบัน เชื่อว่าต้องมีชื่อ Michelin ติดอันดับต้น ๆ แน่ ซึ่งหลายคนต้องเคยเห็นเจ้า “บิเบนดัม” หรือมาสคอตตัวอวบสีขาว ที่ปรากฏในโฆษณาไทยหลายครั้งนี้เอง หารู้ไหมว่าแบรนด์นี้ มีการตั้งโรงงานผลิตในไทยด้วย โดยมีอยู่ด้วยกันถึง 5 แห่ง และมีแห่งหนึ่งที่เรียกได้เลยว่าเป็นหัวใจสำคัญ นั้นคือโรงงานประจำจังหวัดสระบุรี ที่มีการผลิตยางล้อรถบรรทุก ไปจนถึงยางล้อเครื่องบินกันเลย ซึ่งมาพร้อมการผลิตที่ใช้เทคโนโลยีเต็มขั้น โดยจะมีกระบวนการผลิตอย่างไรบ้างนั้น Top Stories จาก Techhub วันนี้จะพามาชมกันครับ

เป็นเวลากว่า 130 ปีมาแล้ว สำหรับผู้ผลิตยางล้อมานานอย่าง Michelin (มิชลิน) และจากยางล้อก็กลายเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านโซลูชันวัสดุคอมโพสิต (Composite) ซึ่งหมายถึงการนำความเชี่ยวชาญด้านวัสดุศาสตร์ไปต่อยอดในอุตสาหกรรมอื่น ๆ ที่หลากหลายมากขึ้น ไม่ว่าจะเป็น การเดินทาง , การดูแลสุขภาพ , การบินและอวกาศ ไปจนถึงพลังงานคาร์บอนต่ำ

โดยวันนี้เราจะมาดูการผลิตยางสำหรับรถบรรทุกและอากาศยาน ซึ่งถูกผลิตในโรงงานมิชลิน หนองแค จังหวัดสระบุรี ที่ประเทศไทยนี้เอง โดยชูการออกแบบยางล้อที่ยั่งยืน เน้นการใช้วัสดุชีวภาพ (Bio-materials) และการลดแรงต้านทานการหมุนเป็นหลัก ซึ่งถือเป็นจุดเด่นของแบรนด์ Michelin ที่บอกเลยว่า ความปลอดภัยต้องมาก่อน ยางต้องใช้ได้นานและไว้ใจได้ รวมถึงได้ความยั่งยืนหรือรักษ์โลกด้วย

ในจุดแรก ทาง Michelin ก็พาชมส่วนประกอบของยางล้อรถบรรทุกก่อนเลย โดยประกอบไปด้วย ‘ยางธรรมชาติ’ (จากกรีดยางนั้นแล) เป็นส่วนประกอบสำคัญหลัก โดยเฉพาะในชั้นดอกยาง เพื่อให้ความยืดหยุ่นและการยึดเกาะถนน ถัดมาคือ ‘ยางสังเคราะห์’ ใช้เสริมคุณสมบัติต่าง ๆ เช่น เพิ่มประสิทธิภาพการยึดเกาะบนพื้นเปียก ความทนทานต่อการสึกหรอ และลดแรงต้านการหมุน

อีกส่วนคือ ‘สารตัวเติมเสริมแรง’ ซึ่งก็ประกอบไปด้วย ผงถ่าน เป็นส่วนประกอบสำคัญที่ให้ความแข็งแรงและความทนทานต่อการสึกหรอแก่ยาง ทำให้ยางมีสีดำ ถัดมาคือ ซิลิกา ช่วยลดแรงต้านการหมุน ซึ่งส่งผลให้ประหยัดน้ำมันเชื้อเพลิงและลดการปล่อย CO2 โดย Michelin ก็มีการใช้ซิลิกาที่ได้จากขี้เถ้าแกลบข้าวด้วย เพื่อเป็นกระบวนการผลิตเพื่อความยั่งยืนนี้เอง

สำหรับการทำให้ยางมีความแข็งแรงและคงรูปทรงได้นั้น ส่วนประกอบหลักที่ต้องใช้เลยคือ ‘เส้นลวดเหล็ก’ โดยจะใช้ในโครงสร้างสายพานรัดหน้ายางนี้เอง พร้อมด้วย โพลีเอสเตอร์ ไนลอน เรยอน หรือ อารามิด ใช้ในโครงสร้างผ้าใบตัวยาง เพื่อให้ความทนทานและรองรับน้ำหนัก

ใด ๆ ก็ตาม Michelin ก็มีส่วนที่เรียกว่า “สูตรเคมีลับ” โดยเป็นสูตรการผสมทางเคมี ที่ทำให้ยางของ Michelin มีจุดเด่นไม่เหมือนใครจนทุกวันนี้เอง แต่แน่นอนว่าสูตรนี้เป็นความลับ ที่พอบอกได้ ก็มี น้ำมัน , เรซิน, และกำมะถัน ซึ่งช่วยให้ยางมีคุณสมบัติเฉพาะด้าน เช่น การยึดเกาะที่ดี หรือความทนทานต่อความร้อน

สำหรับส่วนประกอบยางหลักก็มีตามนี้ แต่จริง ๆ ต้องบอกเลยว่ายางของ Michelin นั้น มีส่วนประกอบเป็นร้อยชนิดกันเลย ต่อไปคือขั้นตอนการผลิตที่ทาง Michelin หรือในโรงงานมิชลิน หนองแค จังหวัดสระบุรี ได้พาเป็นชมอย่างใกล้ชิด ชนิดที่เห็นเครื่องจักรห่างออกไปเพียงไม่กี่เซนติเมตรเลย  

“กว่า 80% ของผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมของยางล้อ เกิดขึ้นระหว่างการใช้งาน (จากการเผาผลาญเชื้อเพลิง) ไม่ใช่ขั้นตอนการผลิต”

โรงงานผลิตยางของ Michelin นั้น ปัจจุบันก็มีการเน้นเรื่องความยั่งยืน (Sustainability) เป็นหัวใจสำคัญของโรงงานผลิตทุกแห่งเลย โดยทางคุณ ซีริลล์ โรเฌต์ (Cyrille Roget) ผู้อำนวยการฝ่ายนวัตกรรมและการสื่อสารเชิงวิทยาศาสตร์ของ Michelin ก็ได้กล่าวถึง 80% ของผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมของยางล้อ จึงเป็นเหตุผลว่าทำไมการพัฒนายางที่มีแรงต้านทานการหมุนต่ำ ถึงเป็นหัวใจสำคัญของความยั่งยืนนี้เอง

ในส่วนเบื้องหลังสายการผลิต ยางล้ออากาศยาน และ ยางล้อรถบรรทุก ตัวโรงงานก็แสดงให้เห็นถึงเทคโนโลยีวิศวกรรมที่มีความแม่นยำสูง โดยในส่วนยางล้ออากาศยานนั้น จะมีการใช้แขนกล รถขนส่ง และ AI ช่วยตรวจคุณภาพยางอย่างเข้มงวด ส่วนฝั่งยางล้อรถบรรทุก ส่วนนี้จะมีคนมาช่วยดูแลขั้นตอนการผลิตหลายส่วนเลย โดยจะมีส่วนผลิตยางที่ต้องประกอบทีละเส้น ผ่านการเคลือบสารเคมีต่าง ๆ จากนั้นก็ขึ้นรูป และทดสอบความทนทานในที่สุด

อนึ่งทาง Michelin มีแผนจะใส่ชิปภายในยางด้วย เพื่อช่วยตรวจสอบจำนวนการหมุน ระยะที่วิ่ง และอื่น ๆ อึกมากมาย เพื่อบอกอายุของตัวยางที่แม่นยำนี้เอง จากปกติจะเป็นการดูสภาพตัวยางด้วยตา ซึ่งจะเริ่มในยางล้อรถบรรทุกก่อนเป็นอันดับแรก

หากพูดถึงจุดเด่นจริง ๆ ของยาง Michelin นั้น ก็จะมีคำว่า “ความไว้ใจ” เด่นมาเลย หรือความปลอดภัย มั่นใจว่าตัวยางจะช่วยให้การเคลื่อนที่ได้อย่างยาวนาน โดยงาน Michelin Beyond Performance ในครั้งนี้ จึงเป็นการประกาศจุดยืนใหม่ของมิชลินที่ชัดเจนว่า พวกเขาไม่ได้หยุดอยู่แค่การเป็น “ราชาแห่งยางล้อ” อีกต่อไป แต่กำลังใช้ความเชี่ยวชาญด้านวัสดุศาสตร์ที่สั่งสมมานานกว่าศตวรรษ เพื่อก้าวขึ้นเป็นผู้นำด้าน “วัสดุคอมโพสิต” ที่จะเข้าไปมีบทบาทในหลากหลายอุตสาหกรรม โดยมี “ความยั่งยืน” เป็นเข็มทิศในการขับเคลื่อนธุรกิจในทุกมิติ ถือเป็นการส่งสัญญาณครั้งสำคัญว่า อนาคตของการเดินทางและนวัตกรรมวัสดุศาสตร์กำลังจะเปลี่ยนไปอย่างน่าจับตามองนั้นเองครับ