รีวิว Nokia 7 Plus ทางเลือกไม่เกินหมื่นห้า กับ Pure Android ที่เข้าถึงง่าย

เคยบอกไปครั้งหนึ่งเมื่อตอนรีวิว Nokia 6 ปีก่อน ว่าการกลับมาครั้งนี้ของ Nokia ภายใต้การดูแลของ HMD Global จะไม่ง่ายเหมือนในอดีต เนื่องจากผู้ใช้มีทางเลือกมากขึ้นในการซื้อหาสมาร์ทโฟน แต่ชื่อของ Nokia ยังมีมนต์ขลังและเป็นแบรนด์ที่ผมเชื่อว่ามีผู้อ่านจำนวนไม่น้อยที่ยังหลงใหลในความเป็น Nokia และครั้งนี้ผมมีอีกหนึ่งประสบการณ์การใช้งานสมาร์ทโฟนจาก Nokia มาบอกเล่ากันอีกครั้งกับ ” รีวิว Nokia 7 Plus “ ใครที่ยังไม่รู้มาก่อนว่ารุ่นนี้มีดีอะไร มีจุดด้อยตรงไหน ผมจะอธิบายไว้ในรีวิวนี้ครับ

รีวิว Nokia 7 Plus

ดีไซน์

ตัวเครื่องถูกประกอบมาอย่างแน่นหนา ให้ความรู้สึกถึงความแข็งแกร่ง กรอบตัวเครื่องทั้งสี่ด้านและกรอบเลนส์ที่ใช้อลูมิเนียมโทนสีส้มที่มีความเงางามตัดกับสีดำได้อย่างลงตัว ฝาหลัง built-in มาด้วยเลย ถอดออกไมได้ เป็นลักษณะผิวด้าน ตัดปัญหาเรื่องการเกิดรอยนิ้วมือในกรณีที่ไม่สวมเคส แต่ถ้าหากนิ้วมือของผู้ใช้มีความมันติดอยู่ละก็ มีโอกาสเกิดคราบหรือเกิดรอยได้ครับ ซึ่งก็ไม่ต้องซีเรียสนักครับเพราะยังไงก็สามารถเช็ดออกได้สบายๆ

สำหรับการหยิบจับด้วยมือเดียว อันนี้ขอเน้นเลยครับว่าหากผู้ใช้บางท่านมีขนาดมือเล็ก การหยิบจับและใช้งานด้วยมือเดียวคงจะไม่สะดวกนัก เนื่องจากขนาดตัวเครื่องที่ค่อนข้างใหญ่ ประกอบกับมีหน้าจอถึง 6 นิ้ว สำหรับเรื่องน้ำหนักที่หลายคนอาจกังวลว่าด้วยขนาดตัวเครื่องที่ใหญ่จะส่งผลต่อน้ำหนักที่มากขึ้นตามมาด้วยหรือไม่ เรื่องนี้ขอบอกเลยครับว่า Nokia 7 Plus น้ำหนักไม่มาก มีความบาง เบา ! จะพก จะถือออกมาใช้บนรถไฟฟ้าก็ไม่ใช่ปัญหาครับ

จอแสดงผล

เป็นอีกหนึ่งสมาร์ทโฟนที่มากับสัดส่วนหน้าจอ 18:9 ภายใต้ขนาด 6 นิ้ว พร้อมด้วยความละเอียด Full HD+ (2160 x 1080 พิกเซล) ซึ่งเซนเซอร์ที่ติดมากับตัวเครื่องก็สามารถตรวจจับสภาพแสงในแต่ช่วงเวลาเพื่อปรับความสว่างให้เหมาะสมกับการมองเห็นได้อัตโนมัติ แต่โดยส่วนตัวผมคิดว่าด้านหน้าดูจะไม่ได้มีอะไรโดดเด่นเป็นพิเศษนัก ที่รู้สึกว่าเครื่องนี้สวยงามก็ตรงสีดำตัดกับอลูมิเนียมโทนสีส้มนี่ละครับ

ส่วนอื่นๆ โดยรอบของ Nokia 7 Plus ที่น่าสนใจ ยังมาพร้อมช่องต่อหูฟังขนาด 3.5 มิลลิเมตร, พอร์ตชาร์จและถ่ายโอนข้อมูลเป็น USB Type-C, ลำโพงเสียงจะอยู่ด้านซ้ายของพอร์ต USB และถาดซิมที่รองรับนาโนซิมได้สองซิมพร้อมกัน หรือจะเลือกใช้ซิมเดียวแล้วเพิ่ม microSD Card ก็เลือกได้ตามที่แต่ละคนสะดวกครับ

เล่นเกมล่ะไหวไหม ?

ใน Nokia 7 Plus ใช้ชิปประมวลผล Qualcomm Snapdragon 660 ที่ถือว่าเป็นการเพิ่มความคุ้มค่าให้กับรุ่นนี้ เพราะเอื้อต่อการเล่นเกมพอสมควร ยิ่งใครที่รู้ตัวว่ากำลังมองหาสมาร์ทโฟนราคาไม่เกินหมื่นห้าเอาไว้เล่นเกมอย่างพวก RoV ก็อยากให้ลองพิจารณาครับ จากการทดสอบเล่น RoV ใน Nokia 7 Plus พร้อมตั้งค่าต่างๆ อยู่ในระดับสูงทั้งหมด ค่าเฟรมเรตในระหว่างเล่นจะพุ่งสู่ระดับ 60 FPS หากเป็นช่วงที่ตะลุมบอนกันผมสังเกตว่าค่าเฟรมเรตจะขึ้นลงเฉลี่ยอยู่ระหว่าง 58-60 FPS โดยประมาณ ส่วนผลลัพธ์ของการประมวลผล, การเคลื่อนไหวของตัวละคร และความไวในการตอบสนองของการสัมผัส นับว่าทำได้อย่างลื่นไหลครับ

ขณะที่เรื่องความร้อนและการกินแบต จากที่สัมผัสเวลาเล่นเกมผ่านประมาณ 35-40 นาที ด้านหลังจะเริ่มอุ่นขึ้นมาเล็กน้อย ส่วนอัตรการใช้แบตก็ถือว่าไม่เยอะครับ จากแบตประมาณ 50 กว่าเปอร์เซนต์ ช่วงที่เล่นเกม 35-40 นาที ก็ใช้แบตไปไม่กี่เปอร์เซนต์เท่านั้น

เทรนด์กล้องหลังคู่มา Nokia ก็ต้องปรับตาม !

Nokia 7 Plus มากับกล้องหลังคู่ กล้องหลังความละเอียด 12 ล้านพิกเซล, กล้องรองความละเอียด 12 ล้านพิกเซล ทั้งคู่มากับเลนส์ออปติก ZEISS, ค่ารูรับแสง f/2.6 และแฟลชแบบ Dual Tone ซึ่ง UI ของกล้องหลังมาในสไตล์ Pure Android เลยครับ มีลูกเล่นจำกัดพอสมควร ผมของยกตัวอย่าง “ไลฟ์โบเก้” หรือภาษาชาวบ้านเรียกง่ายๆ ว่าโหมดถ่ายหน้าชัดหลังเบลอ จากที่ถ่ายจริงด้วยโหมดนี้รู้สึกได้เลยครับว่าใช้ค่อนข้างยาก เนื่องจากจะต้องอยู่ในระยะที่ใช่ของเซนเซอร์จริงๆ หลายครั้งที่ผมพยายามใช้โหมดนี้เพื่อถ่ายสิ่งใดสิ่งหนึ่ง ส่วนใหญ่มักจะเจอกับคำว่า “ใกล้เกินไป” คือกล้องอยู่ใกล้วัตถุมากเกินไป ผมก็พยายามปรับระยะห่างเพื่อให้ได้ระยะตามที่เซนเซอร์จะสามารถตรวจจับได้ แต่หลายครั้งที่ถอยห่างก็แล้ว เปลี่ยนมุมถ่ายภาพก็แล้วก็มักจะเจอกับคำว่า “ใกล้เกินไป” อยู่นั่น และถ้าอยู่ในระยะที่โอเคแล้วจะขึ้นคำว่า “ความลึกสำเร็จ” นั่นละครับถึงจะสามารถลงมือกดชัตเตอร์เพื่อสร้างภาพแบบหน้าชัดหลังเบลอได้

ภาพถ่ายโหมด “ไลฟ์โบเก้”

ในแง่ของ Auto Focus จากที่ผมลองหันกล้องไปมาแล้วปล่อยให้จับโฟกัสเองก็สังเกตเห็นว่าระบบสามารถโฟกัสไปที่สิ่งใดสิ่งหนึ่งได้ค่อนข้างเร็วครับ ในกล้องหลังเดียวกันนี้เองยังมีโหมด Beauty มาให้ด้วย รวมไปถึงโหมด Bothie การเปิดหน้ากล้องพร้อมกันทั้งด้านหน้าและหลัง

ขณะที่กล้องหน้า ตามสเปกให้ความละเอียดมาถึง 16 ล้านพิกเซล พร้อมกับเลนส์ออปติก ZEISS ซึ่งเมนูการใช้งานต่างๆ ก็แทบจะถอดแบบเดียวมากับกล้องหลังเลยครับ

สุดท้ายกับโหมดบันทึกวีดีโอ สำหรับกล้องหลังสามารถบันทึกได้ที่ความละเอียดสูงสุด UHD 4K และกล้องหน้าบันทึกได้ที่ความละเอียดสูงสุด 1080p ซึ่งทันทีที่เริ่มบันทึกวีดีโอจะมีฟีเจอร์ OZO Audio เปิดใช้งานโดยอัตโนมัติ เป็นการใช้ไมโครโฟน 3 จุด สำหรับบันทึกเสียงรอบข้างให้ได้รายละเอียดที่ชัดเจนมากที่สุด

UI ในโหมดกล้องและวีดีโอ
ภาพถ่ายในโหมด Auto

ซอฟต์แวร์

ความเป็น Pure Android คือสิ่งที่ HMD Global พยายามสร้างให้เป็นจุดเด่นของสมาร์ทโฟน Nokia ไม่มี UI อื่นใดครอบทับ อาศัยความเรียบง่ายของซอฟต์แวร์เป็นหลัก เพื่อการใช้งานที่ลื่นไหลมากที่สุด การันตีการอัพเดทสู่ Android เวอร์ชั่นใหม่อย่างน้อย 2 เวอร์ชั่น ซึ่งเวอร์ชั่นที่มากับ Nokia 7 Plus เป็น Android 8.0 Oreo

แต่ก็อย่างว่าละครับเพราะความ Pure Android ที่แม้จะมีจุดเด่นเรื่องซอฟต์แวร์ที่ได้อัพเดท แต่ก็แทบจะไม่มีลูกเล่นอื่นใดเสริมเข้ามาเลย ทุกอย่างล้วนขึ้นอยู่กับ Google ทั้งสิ้น !

รีวิว Nokia 7 Plus คุ้มค่า สมราคาคุยไหม ?

สำหรับผมแล้ว Nokia ยังมีพลังอยู่ในตัวเองครับ ดีไซน์ของ Nokia 7 Plus สามารถเรียกแขกได้ไม่ยาก ขณะที่เรื่องกล้องก็ถือว่าทำได้ดีในระดับหนึ่ง ไม่หวือหวา แต่ก็ไม่มีจุดเด่นที่โดดเด้งขึ้นมาเหนือกว่าคู่แข่งในระดับเดียวกันเท่าไหร่นัก เรื่องการเล่นเกมและการกินแบตไม่เป็นอุปสรรคต่อนักเล่นครับ

ส่วนซอฟต์แวร์ก็คงปฏิเสธไม่ได้ครับว่า แม้จะเป็น Pure Android ที่การันตีการอัพเดทสู่ Android เวอร์ชั่นใหม่ๆ อย่างน้อย 2 เวอร์ชั่น แต่ด้วยความที่ซอฟต์แวร์มากับความโล่งและเรียบง่ายเกินไป ! ในความรู้สึกส่วนตัวของผม หรือผู้อ่านอีกหลายๆ ท่านอาจเห็นตรงกันว่ามันขาดชีวิตชีวาและสีสันไปพอสมควร

สุดท้ายนี้ Nokia 7 Plus กับราคาเพียง 13,900 บาท ด้วยคุณสมบัติพื้นฐานที่ HMD Global จัดสรรมาให้ก็ยังนับว่ามีความคุ้มค่าอยู่ในตัวครับ ใครที่มีความเชื่อในแบรนด์ Nokia และมีงบประมาณจำกัด รุ่นนี้ก็เป็นอีกหนึ่งที่อยากให้ลองพิจารณาครับ

สเปก Nokia 7 Plus

  • หน้าจอ IPS LCD ขนาด 6 นิ้ว ความละเอียด Full HD+ (2160 x 1080 พิกเซล) สัดส่วนหน้าจอ 18:9
  • ใช้งานได้สองซิมการ์ด ประเภทนาโนซิม
  • ระบบปฏิบัติการ Android 8.0 Oreo
  • ชิปประมวลผล Qualcomm Snapdragon 660
  • แรม 4GB LPDDR4, หน่วยความจำภายใน 64GB, รองรับ microSD Card ความจุสูงสุด 256GB
  • กล้องหลังคู่ กล้องหลักความละเอียด 12 ล้านพิกเซล, กล้องรองความละเอียด 13 ล้านพิกเซล ทั้งคู่มาพร้อมเลนส์ออปติก ZEISS, ค่ารูรับแสง f/2.6 และแฟลชคู่ Dual Tone
  • กล้องหน้าความละเอียด 16 ล้านพิกเซล พร้อมเลนส์ออปติก ZEISS
  • ระบบบันทึกเสียง OZO Audio
  • พอร์ต USB Type-C
  • แบตเตอรี่ความจุ 3800 mAh

สั่งซื้อออนไลน์ได้ที่ Jaymart