ฝุ่น PM 2.5 ยังไม่หายไป! เตรียมพร้อมรับมือกับภัยร้ายรอบตัวที่ป้องกันได้

“อากาศ” สิ่งที่คนเราไม่สามารถมองเห็นได้ด้วยตาเปล่าแต่เป็นปัจจัยที่สำคัญมากที่สุดที่ช่วยให้มนุษย์มีชีวิตอยู่รอดได้ และเมื่อสภาพอากาศในปัจจุบันเต็มไปด้วยมลพิษ ทั้งจากก๊าซอันตราย และฝุ่นละอองขนาดเล็ก PM 2.5 ที่เป็นอันตรายต่อระบบทางเดินหายใจ หัวใจ รวมถึงเยื่อบุนัยน์ตา-จมูก การคุกคามของปัญหาฝุ่นละอองในอากาศ จึงสร้างความตื่นตระหนกอย่างมากในประเทศไทยโดยเฉพาะในช่วงปีที่ผ่านมาที่ฝุ่นขนาดเล็กเริ่มก่อตัวและปรากฏให้เห็นได้อย่างชัดเจน แล้วคนไทยพร้อมที่จะรับมือกับปัญหาเหล่านี้หรือยัง?

หากลองมองเรื่องนี้ในมุมมองที่กว้างขึ้น ปัญหามลพิษทางอากาศถือเป็นปัญหาใหญ่ระดับนานาชาติที่ทั่วโลกกำลังเผชิญอยู่ ซึ่งทางองค์การอนามัยโลก (WHO) ได้ออกมาเผยสถิติว่า ในแต่ละปีมีประชากรทั่วโลกเสียชีวิตราว 7 ล้านคน จากมลพิษทางอากาศ และ 80 เปอร์เซ็นต์ของประชากรโลกยังอาศัยอยู่ในพื้นที่ที่มีค่าคุณภาพทางอากาศย่ำแย่เกินกว่าที่องค์การอนามัยโลกกำหนดอีกด้วย[1] ซึ่งประเทศไทยกำลังประสบปัญหานี้และมีแนวโน้มว่าจะเกิดขึ้นอีกในอนาคต เนื่องจากการขยายตัวของเมืองใหญ่และจำนวนประชากรที่เพิ่มมากขึ้น

โดยปกติแล้วฝุ่นในชั้นบรรยากาศจะมีขนาดตั้งแต่ 0.002 – 500 ไมครอน โดยฝุ่นที่ส่งผลกระทบต่อสุขภาพของมนุษย์นั้น จะต้องมีขนาดเล็กกว่า 10 ไมครอน[2] ซึ่งกรมควบคุมมลพิษได้ระบุไว้ว่า PM2.5 ที่เราคุ้นหูกันดี คือ ฝุ่นที่มีขนาดไม่เกิน 2.5 ไมครอน ซึ่งฝุ่นชนิดนี้เกิดจากหลายสาเหตุ เช่น การเผาไหม้จากยานพาหนะ หรือวัสดุการเกษตร ซึ่งสิ่งที่น่ากังวลคือฝุ่นชนิดนี้เข้าสู่ร่างกายของมนุษย์สามารถเข้าสู่ร่างกายของเราได้ผ่านการหายใจ[3] แต่อาจจะไม่ได้ส่งผลร้ายได้ในทันที ซึ่งหากเราได้รับ PM 2.5 ในระยะสั้น จะทำให้เกิดอาการระคายเคืองจมูก แสบจมูก ไอ ไปจนถึงมีเสมหะ ส่งผลต่อเนื่องจนทำให้ทางเดินหายใจอักเสบ มีความเสี่ยงที่ปอดจะติดเชื้อ และเมื่อเกิดการสะสมเป็นระยะเวลานานอาจจะเป็นสาเหตุของโรคที่ร้ายแรงมากขึ้น เช่น โรคถุงลมโป่งพอง และมะเร็งปอด ซึ่งสามารถเกิดขึ้นได้กับทุกเพศทุกวัย โดยเฉพาะบุคคลที่มีความเสี่ยงและควรจะเฝ้าระวังฝุ่นร้ายนี้เป็นพิเศษ เช่น ผู้ที่มีโรคประจำตัวเกี่ยวกับทางเดินหายใจ โรคหอบหืด หรือโรคภูมิแพ้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในหมู่ผู้สูงอายุ เด็ก และสตรีมีครรภ์ ที่อาจมีภูมิคุ้มกันที่อ่อนแอกว่าคนทั่วไป

สำหรับวิธีการป้องกันเบื้องต้นทางคณะแพทยศาสตร์ โรงพยาบาลรามาธิบดี[4] แนะนำว่าควรจะสวมใส่หน้ากากอนามัย N95 และควรทำการทดสอบการแนบสนิทของหน้ากากกับใบหน้า (Fit test) ทุกครั้งที่สวมหน้ากาก โดยใช้มือทั้งสองข้างโอบรอบหน้ากากแล้วหายใจแรงกว่าปกติ ถ้าหน้ากากแนบสนิทดีแล้วจะไม่มีการรั่วของลมหายใจออกมาจึงมั่นใจได้ว่าเราปลอดภัยจากฝุ่น PM 2.5 หรือวิธีที่ง่ายที่สุดคืออยู่ในพื้นที่อาคารและงดกิจกรรมที่ต้องออกไปเจอฝุ่นข้างนอก แต่ในความเป็นจริงพื้นที่ภายในบ้านก็ใช่ว่าปลอดภัยจาก PM 2.5 เสียทีเดียว เพราะถ้าหากเราเปิดประตูหน้าต่างหรือเวลาเรากลับเข้ามาจากข้างนอกอาคาร มักจะมีฝุ่นติดตัวเข้ามาด้วยเสมอ ดังนั้น เมื่อเราควบคุมสภาพอากาศภายนอกไม่ได้ การปรับสภาพอากาศภายในบ้านให้บริสุทธิ์โดยใช้เครื่องฟอกอากาศ จึงเป็นอีกหนึ่งวิธีที่จะช่วยให้เราห่างไกลจากฝุ่น PM2.5 มากยิ่งขึ้น

แล้วเราจะมั่นใจได้อย่างไร ว่าอากาศภายในบ้านบริสุทธิ์หรือไม่? ในปัจจุบันด้วยวิวัฒนาการและเทคโนโลยีที่ทันสมัยมากขึ้น ทำให้เราสามารถมองเห็น “อากาศ” รอบตัวอยู่ในรูปแบบของตัวเลขดิจิทัลบนจอแสดงผลที่จะทำให้เรารับรู้ได้ว่าภายในพื้นที่ที่เราอยู่อาศัยนั้นสภาพอากาศเป็นอย่างไร ปลอดภัยต่อสุขภาพของเราหรือไม่ และเครื่องฟอกอากาศในปัจจุบันได้ถูกออกแบบพัฒนาอย่างก้าวกระโดดเพื่อตอบสนองความต้องการของผู้ใช้งานมากขึ้น ทั้งด้านการดูแลสุขภาพทางเดินหายใจ เพิ่มเซ็นเซอร์ตรวจจับฝุ่นที่ชาญฉลาดมาก ดังนั้นฟีเจอร์ที่จำเป็นเหล่านี้จะช่วยให้เราควบคุมสภาพอากาศได้อย่างง่ายดาย และดูแลสุขภาพของตัวเราและคนที่เรารักได้สะดวกมากยิ่งขึ้น

หากมองผลิตภัณฑ์ในตลาดเครื่องฟอกอากาศ ซัมซุง ถือเป็นแบรนด์ผู้นำด้านนวัตกรรมและเทคโนโลยีเพื่อคุณภาพชีวิตในบ้าน ซึ่งได้พัฒนานวัตกรรมเครื่องฟอกอากาศบริสุทธิ์หลากหลายรูปแบบออกมาสู่ประเทศไทยเป็นประเทศแรก ๆ หลังจากประสบความสำเร็จอย่างสูงในตลาดประเทศเกาหลีใต้ซึ่งถือเป็นประเทศที่ประสบปัญหาด้านมลภาวะทางอากาศมาอย่างต่อเนื่อง โดยในปีนี้ซัมซุงได้นำเสนอเทคโนโลยีฟอกอากาศที่มาพร้อมกับระบบตรวจจับฝุ่นละอองที่ทำงานด้วยเลเซอร์ PM เลเซอร์ และหน้าจอที่แสดงค่าฝุ่นละอองต่าง ๆ ภายในห้องได้อย่างถูกต้องแม่นยำ (Numeric Easy View Display) รองรับการเชื่อมต่อ Wi-Fi ช่วยให้ผู้ใช้งานตรวจสอบคุณภาพอากาศภายในบ้านได้จากระยะไกล โดยควบคุมการทำงานผ่านแอปพลิเคชัน SmartThings ได้ทุกที่ทุกเวลาฟอกอากาศได้รวดเร็วผ่านช่องรับอากาศด้านหน้าที่สามารถกระจายอากาศบริสุทธิ์ได้ 3 ทิศทาง และนวัตกรรมฟอกอากาศบริสุทธิ์หลายขั้นตอน ที่สามารถขจัดฝุ่นอนุภาคเล็ก 0.3 ไมครอน ซึ่งเป็นฝุ่นละอองที่มีขนาดเล็กกว่า PM 2.5 ได้มากถึง 99.9 เปอร์เซ็นต์

โดยซัมซุงได้นำเสนอ ซัมซุง คิวบ์ AX9500 (CUBE) เครื่องฟอกอากาศสำหรับผู้ที่ชื่นชอบงานดีไซน์สวยงามลงตัวไร้ที่ติ หรือ ซัมซุง บลู สกาย (BLUE SKY) เพื่อตอบโจทย์คนรักสุขภาพ ให้สามารถเลือกใช้งานตามขนาดพื้นที่ในบ้านได้อย่างเหมาะสม โดยทุกรุ่นจะมาพร้อมกับสมาร์ทฟังก์ชันที่ช่วยให้ผู้ใช้งานมั่นใจว่าคุณภาพอากาศในพื้นที่ปลอดภัย ซัมซุง คิวบ์ AX9500 สีเมทัลซิลเวอร์ วางจำหน่ายที่ราคา 28,900 บาท และซัมซุง บลู สกาย AX7500 ราคา 29,900 บาท ซัมซุง บลู สกาย AX5500 ราคา 20,900 บาท และ ซัมซุง บลู สกาย AX3300 ราคา 11,900 บาท สามารถติดตามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ https://www.samsung.com/th/air-purifier/