Roll Back หรือ Uninstall เพื่อแก้ปัญหา Windows Update

Windows Upadte นั้นเป็นรูปแบบพื้นฐานที่หลายคนใช้กันอยู่ ซึ่งส่วนใหญ่จะพูดถึงเรื่องของการเปิดอัพเดต กำหนดอัพเดต ตั้งการอัพเดตวินโดวส์ แต่ไม่ค่อยมีใครได้เคยพูดถึงว่า เมื่ออัพเดตแล้วเกิดผลกระทบทั้งในส่วนของซอฟต์แวร์หรือโปรแกรมที่ใช้จะทำอย่างไร ส่วนหนึ่งก็เพราะปัญหาที่เกิดขึ้นค่อนข้างน้อย เมื่อเทียบกับการใช้งานโดยส่วนใหญ่ อย่างไรก็ดีมีอยู่บ้างบางส่วนที่เกิดการความผิดปกติ หลังจากการ Update Windows แต่เมื่อเกิดขึ้นแล้วต้องทำอย่างไร

Roll Back-Windows Update

การแก้ไขอาการผิดปกติหลังจากติดตั้ง Windows Update สามารถทำได้ด้วยวิธีง่ายๆ คือ การทำ Roll Back หรือการ Uninstall นั่นเอง แต่สิ่งสำคัญคือ ผู้ใช้ต้องสังเกตเห็นความผิดปกติ ว่าเกิดจาก Windows Update ในช่วงใด เพื่อที่จะได้แก้ไขอย่างถูกต้อง ตรงตัว เพราะหากยกเลิกผิดไป ก็อาจทำให้เสียเวลาในการแก้ไขเพิ่มขึ้นนั่นเอง ลองมาดูว่าจะทำอย่างไรได้บ้าง

Roll Back-Windows Update_2

Safe Mode
สิ่งแรกเลยคือการเข้าสู่ Safe Mode เสียก่อน เนื่องจากความเสียหายส่วนใหญ่ที่จะส่งผลโดยตรงต่อไฟล์ระบบ ควรเข้าสู่โหมดที่สามารถกลับมาแก้ไขได้ การเข้า Safe Mode เป็นจุดสำคัญในการแก้ไข อีกทั้งเป็นโหมดที่ช่วยให้การเปลี่ยนแปลง แก้ไขทำได้ง่ายขึ้น วิธีการไม่ได้ยุ่งยาก เพียงแค่ Restart เครื่อง จากนั้นกดปุ่ม F8 ขณะที่เครื่องกำลังบูตเข้าสู่วินโดวส์ หรือหากเป็น Windows 8 หรือ Windows 10 ให้กดปุ่ม Shift จากนั้นคลิกเลือก Restart จะเข้าสุู่ Booy Menu และเลือกเข้า Safe Mode ตามลำดับ

Roll Back-Windows Update_3

เมื่อเข้า Safe Mode ได้แล้ว ให้เข้าไปที่ Program and Feature จากนั้นคลิกที่ “View install updates” ทางด้านซ้ายมือของหน้าต่าง

Roll Back-Windows Update_4

เลื่อนเมาส์ดู Update Windows ที่คิดว่ามีปัญหา จากนั้นคลิก Uninstall เพื่อยกเลิกการติดตั้ง

Roll Back-Windows Update_5

ในกรณีที่ไม่แน่ใจว่าปัญหาที่เกิดขึ้น เกิดจากการอัพเดตในช่วงใด อาจใช้วิธีเลือกดูวันที่มีการ Update หรือใส่เครื่องหมายลงในตัวอัพเดต “Install On” ด้วยการกำหนดเอาไว้ก่อน ระบบจะแจ้งช่วงเวลาการอัพเดตให้ได้ทราบ เพื่อจะได้เป็นตัวช่วยในการวิเคราะห์ช่วงที่เกิดปัญหาได้ง่ายขึ้น

Roll Back-Windows Update_6

ส่วนทางเลือกอื่นนั้น สามารถใช้วิธีการ Restore ได้เช่นกัน เพียงแต่ต้องมีการสร้างไฟล์ Restore เอาไว้ล่วงหน้า ในช่วงที่ระบบทำงานได้ปกติ จากนั้นให้เข้าไปที่ Troubleshoot > Advanced option และเลือก System Restore เพียงเท่านี้ก็สามารถแก้ไขได้แล้ว แต่อาจจะมีขั้นตอนที่ยุ่งยากสักเล็กน้อย

ที่มา : howtogeek

LEAVE A REPLY

Please enter your comment!
Please enter your name here