ในยุคที่โลกร้อนแรงไปด้วยกระแส Generative AI ทุกองค์กรต่างตะโกนคำว่า AI Transformation แต่ท่ามกลางความตื่นเต้นนั้น มันก็มีความกังวลซ่อนอยู่… แล้วข้อมูลความลับของบริษัทที่ป้อนให้ AI ล่ะ มันจะปลอดภัยไหม? มันจะรั่วไหลไปไหนหรือเปล่า? ยิ่งในยุคที่กฎหมายคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลเข้มข้นขึ้นเรื่อยๆ นี่คือคำถามใหญ่ที่ผู้บริหารทุกคนต้องตอบ
วันนี้ดูเหมือนว่า Synology ที่เรารู้จักกันในฐานะเจ้าพ่อ NAS (Network Attached Storage) กำลังจะกระโดดเข้ามาร่วมวงเดิมพันครั้งใหญ่นี้ แต่พวกเขาไม่ได้มาแข่งสร้าง AI Cloud ชนกับยักษ์ใหญ่
Synology เลือกเดิมพันในเกมที่ตัวเองถนัดที่สุด นั่นคือ AI ส่วนตัวแบบ On-Premise หรือ AI ที่รันบนฮาร์ดแวร์ของเราเอง โดยชูจุดขายที่สวนกระแสว่า ฉลาดได้… โดยข้อมูลไม่ต้องรั่ว
โลกกำลังจมกองข้อมูล และไทยคือศูนย์กลาง
ในงานแถลงข่าวล่าสุด Synology ฉายภาพให้เห็นว่าโลกกำลังเข้าสู่ยุค Data Boom อย่างแท้จริง โดยคาดการณ์ว่าในปีหน้า ปริมาณข้อมูลทั่วโลกจะพุ่งทะลุ 175 Zettabytes และจะเพิ่มอีก 10 เท่าใน 10 ปีข้างหน้า
ท่ามกลางสมรภูมินี้ เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ กลายเป็น Digital Hub ที่ร้อนแรงที่สุด และ ประเทศไทย คือหนึ่งในตลาดที่ Synology วางให้เป็นยุทธศาสตร์หลัก
แต่การเติบโตนี้ก็มาพร้อมความท้าทาย 90% ของธุรกิจเร่งลงทุนด้านดิจิทัล ต้องเจอกับข้อจำกัดด้านงบประมาณ และโดยเฉพาะอย่างยิ่งภัยคุกคามทางไซเบอร์
AI ส่วนตัว บน NAS ฉลาด ปลอดภัย และเป็นเจ้าของได้ 100%
นี่คือไฮไลท์ที่ Techhub มองว่าน่าสนใจที่สุด Synology กำลังจะอัปเกรด NAS ของตัวเองให้เป็นมากกว่าที่เก็บไฟล์ ด้วยการนำเทคโนโลยี AI เข้ามาฝังใน Synology Office Suite โดยตรง
ลองนึกภาพฟีเจอร์เหล่านี้
- Semantic Search ระบบค้นหาอัจฉริยะ ที่คุณไม่ต้องจำชื่อไฟล์อีกต่อไป แค่พิมพ์สิ่งที่คุณจำได้ เช่น หาสไลด์ที่พูดเรื่องงบประมาณไตรมาส 3 ที่มีกราฟสีฟ้า” แล้ว AI จะไปค้นหามาให้
- OCR ถ่ายภาพเอกสาร หรือ PDF ที่เป็นรูปภาพ ระบบจะดึงข้อความออกมาให้ทันที
- การสรุปเนื้อหา โยนไฟล์เอกสารยาว 20 หน้าเข้าไป แล้วบอกให้ AI สรุปใจความสำคัญเหลือ 1 ย่อหน้า
- การแปลแบบ Real-time ประชุมงานกับต่างชาติ และให้ AI ช่วยแปลภาษาแบบสดๆ
คำถามคือ มันต่างจาก AI Cloud ที่เราใช้ๆ กันยังไง?
คำตอบคือ Data Privacy ครับ ฟีเจอร์ AI ทั้งหมดนี้จะทำงานบน NAS ของเราเอง ข้อมูลสำคัญของบริษัท ไม่ว่าจะเป็นสัญญา, บัญชี, หรือแผนกลยุทธ์ จะถูกประมวลผลและเรียนรู้ภายในบ้านของเรา โดยไม่ต้องส่งออกไปให้เซิร์ฟเวอร์ภายนอก (Third-Party)
นี่คือการตอบโจทย์องค์กรที่กังวลเรื่อง PDPA หรือความลับทางการค้าโดยตรง Synology กำลังบอกตลาดว่า ธุรกิจสามารถฉลาดได้ โดยไม่ต้องแลกกับความเป็นส่วนตัว ซึ่งปัจจุบัน Synology ได้เปิดตัว NAS รุ่นใหม่ มาพร้อมชิปประมวลผล AI โดยเฉพาะ (NPU/GPU) เพื่อรองรับการเทรน AI ขององค์กรเองแบบ 100%
NAS vs Server แบบเก่า ?
เมื่อพูดถึงการทำ AI ในองค์กร คนส่วนใหญ่จะนึกถึง Server ตู้แร็คขนาดใหญ่ ราคาแพง และต้องใช้ทีม IT ที่เชี่ยวชาญสุดๆ ในการดูแล แต่การมาของ NAS ประสิทธิภาพสูงกำลังจะเปลี่ยนเกมนี้
ถ้าเปรียบเทียบกันหมัดต่อหมัด
- Traditional Server
- ข้อดี พลังประมวลผลมหาศาล, ยืดหยุ่นสูง อยากลง OS อะไรก็ ซอฟต์แวร์ตัวไหน จัดการเองได้หมด
- ข้อเสีย แพงและยาก ต้องซื้อฮาร์ดแวร์, ซื้อ Storage, ซื้อ License OS, ซื้อ Software แยกกัน แล้วมาประกอบร่างเอง การดูแลรักษาซับซ้อน และต้นทุนรวม สูง เหมาะสำหรับองค์กรขนาดใหญ่ที่มีทีม IT แข็งแกร่ง
- Modern NAS
- ข้อดี มี Ecosystem ครบวงจร มันคือ All-in-One ที่รวมทั้ง Storage, OS , และ Applications (AI, Backup, Chat, Surveillance) มาในกล่องเดียว ติดตั้งง่าย ใช้งานง่ายผ่าน UI ที่เป็นมิตร
- ข้อเสีย ในอดีตอาจถูกมองว่าประสิทธิภาพไม่เท่า Server แต่ปัจจุบันช่องว่างนี้กำลังลดลง
แล้วอันไหนเหมาะกับการทำ AI มากกว่า?
คำตอบคือ ขึ้นอยู่กับสเกลงาน ครับ
ถ้าเป็น Data Center ขนาดใหญ่ที่ต้องการเทรน LLM (Large Language Model) ของตัวเอง Server แบบดั้งเดิมอาจยังตอบโจทย์ แต่สำหรับ 90% ขององค์กรทั่วไป ที่ต้องการนำ AI มา ใช้งานจริง เพื่อเพิ่ม Productivity (เช่น Semantic Search, OCR, สรุปงาน) NAS ประสิทธิภาพสูงคือคำตอบที่สมเหตุสมผลกว่ามาก
Synology ไม่ได้หยุดแค่ NAS สำหรับ SMB แต่พวกเขากำลังบุกตลาด Enterprise เต็มตัวด้วย PAs7700 ระบบ All-NVMe ที่ให้ค่า IOPS มหาศาล และ Latency ต่ำกว่า 1ms นี่คือฮาร์ดแวร์ระดับ Mission-Critical ที่ลบภาพจำเก่าๆ ของ NAS ไปโดยสิ้นเชิง
เกราะป้องกันยุคใหม่ ActiveProtect เมื่อ Backup อย่างเดียวไม่พอ
แน่นอนว่า การรวมทุกอย่างไว้ที่เดียว (ทั้งข้อมูลและ AI) ก็มาพร้อมความเสี่ยงที่ใหญ่ที่สุด
ข้อมูลจาก Synology เองก็น่ากลัว โดย 55% ขององค์กรเคยโดนโจมตี แต่มีเพียง 22% ที่มั่นใจในระบบกู้คืนข้อมูลของตัวเอง!
นี่คือเหตุผลที่ Synology เปิดตัว ActiveProtect ซึ่งไม่ใช่แค่ซอฟต์แวร์ Backup แต่มันคือ Backup Appliance หรืออุปกรณ์ที่ออกแบบมาเพื่อการสำรองข้อมูลโดยเฉพาะ ข้อดีของมันคืออะไร?
- Immutable Backups (ข้อมูลที่แก้ไขไม่ได้ นี่คือหัวใจสำคัญครับ ActiveProtect ใช้หลักการ WORM (Write Once Read Many) หมายความว่า เมื่อข้อมูลถูกสำรองไปแล้ว มันจะถูกล็อกทันที ต่อให้แฮกเกอร์เจาะเข้ามาได้ถึงขั้นยึดสิทธิ์ Admin ของระบบได้ พวกเขาก็ ไม่สามารถลบหรือแก้ไข ไฟล์ Backup เหล่านี้ได้ เพราะสิทธิ์ของ WORM นั้นสูงกว่า Admin เสียอีก
- Air-gap (การตัดขาดจากเครือข่าย) มันสามารถตั้งค่าให้ตัดการเชื่อมต่อจากเครือข่ายหลักหลังจากการสำรองข้อมูลเสร็จสิ้น ทำให้แฮกเกอร์ที่กำลังสแกนหาเป้าหมายในเครือข่ายมองไม่เห็น อุปกรณ์ Backup นี้
- กู้คืนได้รวดเร็ว กรณีศึกษาจริงของ Thai Nippon Foods ที่โดนแรนซัมแวร์โจมตีจนข้อมูลสำรองถูกเข้ารหัสไปด้วย แต่ด้วยโซลูชันของ Synology พวกเขาสามารถกู้คืนระบบและเซิร์ฟเวอร์ทั้งหมดกลับมาได้ ลด Downtime และความเสียหายได้มหาศาล
นี่คือกลยุทธ์ Cyber Resilience ที่องค์กรยุคใหม่ต้องมี เพราะการป้องกัน 100% อาจเป็นไปไม่ได้ แต่การ “กู้คืน” ให้เร็วที่สุดต่างหากคือตัวชี้วัดความอยู่รอด
การเคลื่อนไหวครั้งนี้ของ Synology ชัดเจนมาก พวกเขากำลังเดิมพันว่า อนาคตขององค์กรไม่ใช่ Cloud 100% และไม่ใช่ On-Premise 100% แต่เป็น Hybrid ที่องค์กรต้องการเลือก ว่าจะเก็บข้อมูลที่สำคัญที่สุดไว้กับตัว
Synology กำลังเปลี่ยนภาพลักษณ์จากผู้ผลิตกล่องเก็บไฟล์ไปสู่ ผู้ให้บริการโซลูชัน Enterprise แบบครบวงจร ที่มีทุกอย่างตั้งแต่ Storage ประสิทธิภาพสูง (PAs Series), ระบบป้องกันภัยไซเบอร์ (ActiveProtect), ระบบกล้องวงจรปิดอัจฉริยะ (DVA Series) และล่าสุดคือ AI ส่วนตัว
นี่คือการเดิมพันครั้งใหญ่ที่ท้าทายตลาด โดยมีความเป็นส่วนตัวของข้อมูลและความง่ายในการจัดการเป็นอาวุธสำคัญ ซึ่งในยุคที่ข้อมูลคือทองคำ และ PDPA คือกฎเหล็ก ดูเหมือนว่า Synology จะเลือกเดินหมากได้ถูกทาง
