ไชยชนก ชิดชอบ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอี) พร้อมด้วยผู้บริหารระดับสูงของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ประกาศศึก เตรียมกวาดล้างแก๊งสแกมเมอร์และคอลเซ็นเตอร์ โดยยกระดับเป็นวาระแห่งชาติ เนื่องจากเป็นภัยคุกคามร้ายแรงที่สร้างความเสียหายมหาศาลต่อชีวิตและทรัพย์สินของประชาชน
โดยล่าสุด เมื่อวันที่ 25 ต.ค. 68 กระทรวงดีอีได้ร่วมลงนามในอนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยการต่อต้านอาชญากรรมไซเบอร์ เพื่อไล่ลาสแกมเมอร์ ณ ประเทศเวียดนาม ร่วมกับอีก 68 ประเทศและสหภาพยุโรป
การบูรณาการครั้งนี้จึงเป็นการยกระดับการทำงานสู่ปฏิบัติการเชิงรุก โดยเน้นมิติ “ป้องกัน ปราบปราม และตอบโต้” อย่างรวดเร็วและมีประสิทธิภาพ นายไชยชนกยืนยันว่า รัฐบาลและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องพร้อมใช้ทุกวิถีทางในทุกมิติ เพื่อจัดการปัญหาภัยสแกมเมอร์ ลดความเสียหายของประชาชนให้ได้มากที่สุด และคืนความเชื่อมั่นกลับสู่สังคมไทย
การที่ไทยเข้าร่วมอนุสัญญานี้ จะช่วยปลดล็อกอุปสรรคสำคัญในการปราบปรามอาชญากรกลุ่มนี้ โดยประโยชน์ที่คนไทยจะได้รับโดยตรง คือ อนุสัญญานี้ จะทำหน้าที่เหมือนช่องทางด่วนทางกฎหมาย ซึ่งคนไทยจะได้ประโยชน์คือ..
1. ความร่วมมือระหว่างประเทศที่รวดเร็วขึ้น
โดยก่อนหน้านี้ หากตำรวจไทยสืบจนรู้ว่าเซิร์ฟเวอร์หรือตัวการใหญ่อยู่ในประเทศ A การจะขอความร่วมมือ ขอข้อมูล หรือขอส่งผู้ร้ายข้ามแดน เป็นกระบวนการที่ช้าและซับซ้อนมาก เพราะต้องผ่านช่องทางการทูตและกฎหมายที่แตกต่างกัน
เมื่อประเทศสมาชิก (เช่น ไทย และประเทศ A ที่ยอมลงนามด้วยกัน) ต่างยอมรับในมาตรฐานเดียวกัน การส่งคำร้องขอหลักฐานดิจิทัล หรือการประสานงานเพื่อจับกุมจะทำได้คล่องตัวและรวดเร็วกว่าเดิมมาก ทำให้มีโอกาสที่จะอายัดเงินที่ถูกโกงไปได้ทันท่วงทีมากขึ้น และเพิ่มโอกาสในการจับกุมตัวการใหญ่ที่อยู่เบื้องหลัง ไม่ใช่แค่จับกุมบัญชีม้าในประเทศ
2. ยกระดับมาตรฐานกฎหมายในประเทศ
อนุสัญญานี้กำหนดให้ประเทศสมาชิกต้องมีกฎหมายภายในที่ทัดเทียมกับมาตรฐานสากล เพื่อเอาผิดอาชญากรรมไซเบอร์ในรูปแบบต่างๆ (เช่น การเข้าถึงข้อมูลโดยมิชอบ, การดักจับข้อมูล, การปลอมแปลงข้อมูล ฯลฯ) และแม้ไทยจะมี พ.ร.บ. คอมพิวเตอร์ฯ อยู่แล้ว แต่การเข้าร่วมนี้จะเป็นการผลักดันให้มีการปรับปรุงกฎหมายให้ทันสมัยและครอบคลุมภัยคุกคามรูปแบบใหม่อยู่เสมอ ทำให้คนไทยได้รับการคุ้มครองทางกฎหมายที่รัดกุมขึ้น
3. การเข้าถึงเทคโนโลยีและการฝึกอบรม
ความร่วมมือในอนุสัญญาไม่ได้มีแค่เรื่องกฎหมาย แต่ยังรวมถึงการแบ่งปันองค์ความรู้, เทคโนโลยี, และแนวทางการสืบสวนใหม่ๆ (Capacity Building) โดยเจ้าหน้าที่ตำรวจและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องของไทย จะได้รับการฝึกอบรมและเครื่องมือที่ทันสมัยมากขึ้น เพื่อไล่ตามกลโกงของอาชญากรไซเบอร์ที่พัฒนาอยู่ตลอดเวลา
แต่การร่วมลงนามอนุสัญญาครั้งนี้ จะได้ประโยชน์มากน้อยแค่ไหน สิ่ง “สำคัญ” ที่สุดนั้น ขึ้นอยู่กับการบังคับใช้กฏหมายของเจ้าหน้าที่รัฐครับ ถ้าหากมีกฏหมาย แล้วไม่ทำ หรือทำได้ช้า มันก็จะไม่ได้ประโยชน์มากเท่าที่ควรนั่นแหละนะ
ที่มา
ข่าวประชาสัมพันธ์ กระทรวง DE








