ผลสำรวจล่าสุดคน คนไทยเชื่อมั่นหรือกังวลกับ AI แค่ไหน

เทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์

เทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ หรือ AI ได้กลายเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตประจำวันของผู้คนทั่วโลกอย่างรวดเร็วจนน่าทึ่ง ประเทศไทยเองก็เป็นหนึ่งในประเทศที่เปิดรับและปรับใช้เทคโนโลยีนี้อย่างกว้างขวาง แต่ท่ามกลางความตื่นเต้นกับศักยภาพอันไร้ขีดจำกัด ก็ยังมีความกังวลซ่อนอยู่ในมิติทางจริยธรรม ความเป็นส่วนตัว และผลกระทบต่ออนาคตการทำงานเช่นกัน

เพื่อทำความเข้าใจภูมิทัศน์ของ AI ในสังคมไทยให้ลึกซึ้งยิ่งขึ้น Telenor Group ได้จัดทำรายงานชื่อว่า “Digital Lives Decoded” ฉบับที่สี่ รายงานฉบับนี้ได้ทำการสัมภาษณ์ผู้ใช้งานอินเทอร์เน็ตในประเทศไทยกว่า 1,000 คน โดยร่วมมือกับบริษัทวิจัยระดับโลกอย่าง GWI เพื่อสำรวจมุมมองของผู้บริโภคที่มีต่อการใช้งาน AI ในชีวิตประจำวัน, ความท้าทายที่เกิดขึ้น, และแนวทางการสร้างความไว้วางใจในเทคโนโลยีแห่งอนาคตนี้ 

ซึ่งผลสำรวจได้สะท้อนภาพที่น่าสนใจและซับซ้อนของความสัมพันธ์ระหว่างคนไทยกับ AI ซึ่งมีทั้งความเชื่อมั่น ความคาดหวัง และความกังวลที่ต้องนำมาพิจารณาอย่างจริงจัง

คนไทยใช้ AI มากขึ้นแค่ไหน และ Gen ไหนกังวลที่สุด?

ผลสำรวจชี้ชัดว่า AI ไม่ใช่เรื่องไกลตัวของคนไทยอีกต่อไป แต่ได้แทรกซึมเข้ามาเป็นเครื่องมือสำคัญในชีวิตประจำวันอย่างสมบูรณ์แล้ว โดยพบว่า 91% ของผู้ใช้อินเทอร์เน็ตชาวไทยเคยใช้งาน AI ซึ่งเป็นตัวเลขที่เพิ่มขึ้นอย่างก้าวกระโดดจาก 77% ในปี 2024 

ไม่เพียงเท่านั้น ความถี่ในการใช้งานยังสูงอย่างมีนัยสำคัญ โดย มากกว่า 50% ของผู้ใช้ ระบุว่าใช้เครื่องมือ AI อย่างน้อยวันละครั้ง และเกือบ 1 ใน 4 (28%) ใช้งานหลายครั้งต่อวันเลยทีเดียว

รูปแบบการใช้งานส่วนใหญ่คือการใช้ AI ในฐานะผู้ช่วยส่วนตัวและผู้ช่วยในการทำงาน ซึ่งมีอัตราการใช้งานเพิ่มขึ้นเกือบสองเท่าจากปีที่แล้ว ในแง่ของการทำงาน 4 ใน 10 ของคนไทยใช้ AI ในที่ทำงาน เพิ่มขึ้นจาก 2 ใน 10 ในปี 2024 

แต่ในขณะที่การใช้งานเพิ่มสูงขึ้น ประเด็นที่น่าสนใจที่สุดกลับอยู่ที่กลุ่มผู้ใช้งานหลักอย่าง Gen Z (ผู้มีอายุน้อยกว่า 28 ปี) ซึ่งเป็นกลุ่มที่ใช้งาน AI สูงที่สุด ตั้งแต่การสร้างสรรค์คอนเทนต์ การเรียนรู้ ไปจนถึงการขอคำแนะนำในชีวิตประจำวัน แต่พวกเขากลับเป็นกลุ่มที่ มีความกังวลด้านจริยธรรมของ AI มากที่สุด เช่นกัน

ผลสำรวจพบว่า 61% ของ Gen Z สนับสนุนให้ชะลอการพัฒนา AI จนกว่าจะมีมาตรการป้องกันและกฎระเบียบที่เหมาะสมมารองรับ ประเด็นที่พวกเขากังวลเป็นพิเศษคือ ความยุติธรรม, ความเห็นอกเห็นใ ,และ อคติ (Bias) ที่อาจแฝงอยู่ในอัลกอริทึมของ AI 

สิ่งนี้สะท้อนให้เห็นว่า ยิ่งใช้งานมากเท่าไหร่ ผู้ใช้ก็จะยิ่งตระหนักถึงความเสี่ยงและข้อบกพร่องของเทคโนโลยีมากขึ้นเท่านั้น และเริ่มตั้งคำถามเชิงลึกเกี่ยวกับความน่าเชื่อถือและความปลอดภัยของระบบที่พวกเขากำลังใช้งานอยู่ทุกวัน

ความรับผิดชอบและจริยธรรมของ AI ใครคือผู้คุมเกม

ในอดีต ผู้คนมักมองว่าภาระความรับผิดชอบเป็นของภาครัฐหรือบริษัทผู้พัฒนาเทคโนโลยี แต่ผลสำรวจล่าสุดกลับพบการเปลี่ยนแปลงทัศนคติที่สำคัญ นั่นคือ ผู้ใช้งานทุกช่วงวัยเริ่มรู้สึกถึงความรับผิดชอบส่วนบุคคลมากขึ้น ในการพัฒนาทักษะของตนเองและเลือกใช้งาน AI อย่างมีวิจารณญาณ ซึ่งนับเป็นสัญญาณที่ดี

อย่างไรก็ตาม ทุกภาคส่วนยังคงมีบทบาทสำคัญในการสร้างระบบนิเวศ AI ที่น่าเชื่อถือ ซึ่งมีอยู่หลายภาคส่วนทั้ง

  • ภาครัฐ โดยรัฐบาลไทยได้แสดงความมุ่งมั่นอย่างชัดเจนผ่านการจัดตั้ง ศูนย์ปฏิบัติการกำกับดูแล AI (AI GPC) และประกาศการลงทุนครั้งใหญ่ถึง 15.4 พันล้านเหรียญสหรัฐ เพื่อสร้าง AI Hub ที่ยึดหลักจริยธรรมเป็นศูนย์กลาง ซึ่งเป็นการวางรากฐานที่แข็งแกร่ง
  • ภาคอุตสาหกรรม บริษัทเทคโนโลยีและโทรคมนาคมอย่าง True Corporation ได้เข้ามามีส่วนร่วมในการออกแบบแนวทางปฏิบัติ AI ที่มีความรับผิดชอบ เพื่อให้ผู้ใช้มั่นใจได้ว่าจะได้รับบริการที่ปลอดภัย โปร่งใส และไม่เลือกปฏิบัติ
  • ผู้บริโภคและพนักงาน ซึ่งประชาชนทั่วไปกำลังมองหาและเลือกใช้บริการจากองค์กรที่มีวิสัยทัศน์ชัดเจนในการนำเทคโนโลยีมาใช้อย่างปลอดภัยและไม่เป็นอันตราย

ความท้าทายหลักในปัจจุบันคือการเปลี่ยนจากการสร้างความตระหนัก ไปสู่การสร้างกลไกการนำไปปฏิบัติ ที่สามารถตรวจสอบและบังคับใช้ได้จริง 

คนไทยควรกังวลเรื่องข้อมูลส่วนตัวที่ถูกนำไปฝึก AI แค่ไหน

นี่คือหนึ่งในคำถามที่สำคัญที่สุดในยุคดิจิทัล และคำตอบสั้นๆ คือ “คนไทยควรกังวลนะ”  เราควรตระหนักและกังวลเกี่ยวกับการให้ข้อมูลส่วนตัวกับแพลตฟอร์มต่างๆ อยู่เสมอ

ผลสำรวจชี้ให้เห็นประเด็นที่น่าขบคิดว่า คนไทยมีแนวโน้มที่จะเปิดเผยข้อมูลส่วนตัวให้กับระบบต่างๆ มากกว่าคนชาติอื่น ซึ่งอาจเป็นความเสี่ยงในระยะยาว แม้ว่าบริการหลายอย่างจำเป็นต้องใช้ข้อมูลของเราเพื่อทำงานได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ แต่การตระหนักรู้ถึงความเสี่ยงก็เป็นสิ่งสำคัญ

ความเสี่ยงที่ผู้ใช้ควรให้ความสำคัญ Techhub ขอสรุปมาสั้น ๆ จากที่ถามในงานแถลงข่าวแล้วกันนะ

  1. ความเป็นส่วนตัว ข้อมูลที่ให้ไปจะถูกนำไปใช้อย่างไร ใครสามารถเข้าถึงได้ และถูกเก็บรักษาอย่างปลอดภัยหรือไม่?
  2. อคติ หรือ Bias ข้อมูลที่ถูกนำไปฝึก AI อาจมีอคติแฝงอยู่โดยไม่รู้ตัว ซึ่งอาจนำไปสู่การตัดสินใจที่ไม่เป็นธรรม เช่น การพิจารณาสินเชื่อ หรือการคัดเลือกเข้าทำงาน
  3. ความโปร่งใส ผู้ใช้ควรสามารถเข้าใจได้ว่า AI ใช้หลักเกณฑ์อะไรในการตัดสินใจ เพื่อให้สามารถตรวจสอบและโต้แย้งได้
  4. Echo Chambers AI ที่เรียนรู้พฤติกรรมของเราอาจนำเสนอแต่เนื้อหาที่เราชอบหรือเห็นด้วย ซึ่งอาจทำให้มุมมองของเราแคบลงและสังคมเกิดความแตกแยกมากขึ้น

แม้จะไม่มีวิธีป้องกันได้ 100% แต่ผู้ใช้งานสามารถลดความเสี่ยงได้โดยการเลือกใช้บริการจากบริษัทที่มีความโปร่งใส การให้ความสำคัญกับ ใบรับรอง หรือรางวัล ที่มอบให้กับบริษัทที่เปิดเผยรูปแบบการทำงานของโมเดล AI ก็เป็นอีกหนึ่งแนวทางที่จะช่วยให้ผู้บริโภคตัดสินใจได้ง่ายขึ้น 

อย่างไรก็ตาม ไม่ควรกลัว AI มากจนเกินไป เพราะในอนาคต การใช้ AI จะเป็นสิ่งจำเป็นเพื่อรักษาประสิทธิภาพในการทำงานและการใช้ชีวิต

ทักษะแห่งอนาคต คนไทยต้องอัปสกิลอะไรเพื่ออยู่รอดในยุค AI

เมื่อ AI สามารถทำงานซ้ำซากและงานวิเคราะห์ที่ซับซ้อนได้ดีกว่ามนุษย์ ทักษะที่เคยเป็นที่ต้องการในตลาดแรงงานจึงเปลี่ยนไป การอยู่รอดและเติบโตในยุค AI ไม่ได้หมายถึงการแข่งขันกับเครื่องจักร แต่คือการพัฒนาทักษะที่ AI ยังทำไม่ได้ดี เพื่อทำงานร่วมกับมันได้อย่างมีประสิทธิภาพ

รายงานได้ชี้ให้เห็นถึง 3 ทักษะสำคัญที่คนไทยและคนทั่วโลกต้องเร่งพัฒนา:

  1. ความคิดสร้างสรรค์ AI สามารถสร้างผลงานตามข้อมูลที่มีอยู่ได้ แต่ความคิดริเริ่ม การสร้างสรรค์สิ่งใหม่จากศูนย์ และการคิดนอกกรอบยังคงเป็นขีดความสามารถที่โดดเด่นของมนุษย์
  2. การคิดเชิงวิพากษ์ หรือ Critical Thinking นี่คือทักษะที่สำคัญที่สุดในการทำงานร่วมกับ AI แทนที่จะเชื่อคำตอบที่ AI สร้างขึ้นมาทั้งหมด เราต้องสามารถตั้งคำถาม ตรวจสอบความถูกต้องของข้อมูล ค้นหาแหล่งอ้างอิง และวิเคราะห์อคติที่อาจแฝงอยู่ในผลลัพธ์นั้นๆ ได้ 
  3. ความเห็นอกเห็นใจ ในโลกที่เทคโนโลยีเข้ามามีบทบาทมากขึ้น ความสามารถในการเข้าใจความรู้สึกของผู้อื่น การสื่อสาร และการสร้างความสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์ด้วยกันจะยิ่งทวีความสำคัญมากขึ้น ทักษะนี้เป็นสิ่งที่ AI ไม่สามารถเลียนแบบได้อย่างแท้จริง

ผลสำรวจ “Digital Lives Decoded” ได้ฉายภาพที่ชัดเจนว่า คนไทยได้ก้าวเข้าสู่ยุค AI อย่างเต็มตัวแล้ว ด้วยอัตราการใช้งานที่สูงและความรู้สึกตื่นเต้นกับโอกาสใหม่ๆ แต่ในขณะเดียวกัน ก็มีความตระหนักรู้และความกังวลเชิงจริยธรรมที่เติบโตขึ้นควบคู่กันไป โดยเฉพาะในกลุ่ม Gen Z ซึ่งเป็นผู้นำการเปลี่ยนแปลง

อนาคตของ AI ในประเทศไทยไม่ได้ขึ้นอยู่กับความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีเพียงอย่างเดียว แต่ขึ้นอยู่กับความสามารถของเราในการสร้างความไว้วางใจ ผ่านการพัฒนาและใช้งานอย่างมีความรับผิดชอบ ซึ่งเป็นภารกิจร่วมกันของทุกภาคส่วน ไม่ว่าจะเป็นภาครัฐที่ต้องวางกรอบนโยบายที่เหมาะสม ภาคเอกชนที่ต้องสร้างบริการที่โปร่งใสและปลอดภัย และประชาชนทุกคนที่ต้องพัฒนาทักษะแห่งอนาคต เพื่อก้าวเดินไปพร้อมกับเทคโนโลยีได้อย่างมั่นคงครับ

ทั้งนี้ ภายในงาน มีผู้บริหารคนสำคัญมาให้ข้อมูลทั้ง

คุณ Jon Omund Revhaug, Head of Telenor Asia

คุณณัฐวุฒิ อมรวิวัฒน์ กรรมการบริษัท ทรู คอร์ปอเรชั่น

ดร. Ieva Martinkenaite, SVP and Head of AI at Telenor Group