ยักษ์ใหญ่ค้าปลีกมูลค่า 9 แสนล้านดอลลาร์รายนี้ อาจไม่ใช่แค่ห้างสรรพสินค้าอีกต่อไป แต่ได้กลายเป็น Tech Company ที่ขับเคลื่อนด้วย Walmart AI อย่างเต็มรูปแบบ
Walmart กำลังทำอะไร? และทำไมโลกเทคโนโลยีต้องจับตามอง
1. ทิ้งระบบ AI สำเร็จรูป มุ่งสู่ Agentic AI เฉพาะทาง
ในขณะที่คู่แข่งหลายรายวิ่งไล่ตามโมเดลภาษาขนาดใหญ่ แบบทั่วไป Walmart AI เลือกทางที่ต่างออกไป พวกเขาสร้าง Agentic AI หรือระบบตัวแทน AI ที่สร้างขึ้นเฉพาะกิจ โดยเทรนจากข้อมูลค้าปลีกมหาศาลของ Walmart เอง ไม่ใช่โปรแกรมสำเร็จรูป ทำให้ได้ AI ในแบบของ Walmart ออกมา
– Wallaby คือโมเดล LLM เฉพาะทางของ Walmart ที่เรียนรู้จากข้อมูลการซื้อขายหลายทศวรรษ ช่วยเปรียบเทียบสินค้าและแนะนำการช้อปปิ้ง
– Element แพลตฟอร์ม MLOps ที่พัฒนาขึ้นเอง เพื่อลดการพึ่งพาผู้ให้บริการ Cloud ภายนอก และบริหารจัดการ GPU ได้อย่างคุ้มค่า
2. ตัวเลขที่พิสูจน์แล้ว AI ทำงานได้จริง ไม่ได้โม้
Walmart เปิดเผยตัวเลขความสำเร็จจาก Digital Transformation ที่ชัดเจนอย่างน่าตกใจ ไม่ว่าจะเป็น
– แคตตาล็อกสินค้า โดย GenAI ช่วยปรับปรุงข้อมูลสินค้ากว่า 850 ล้านรายการ ซึ่งหากใช้คนทำต้องใช้คนมากกว่าเดิมถึง 100 เท่า
– ลดโลกร้อน ระบบ AI คำนวณเส้นทางขนส่ง ช่วยลดระยะทางวิ่งเปล่าได้ 30 ล้านไมล์ และลดก๊าซคาร์บอนฯ ได้ถึง 42,000 ตัน
– Digital Twin สร้างฝาแฝดดิจิทัลเพื่อทำนายการเสียของตู้แช่เย็นล่วงหน้า 2 สัปดาห์ พร้อมสั่งอะไหล่ซ่อมให้อัตโนมัติ
Sam’s Club ใช้ AI สแกนสินค้าหน้าประตูทางออก ลดเวลาเช็คเอาต์ลง 21%
มีผลผลกระทบต่อคนทำงานไหม คำตอบคือ “เปลี่ยน” ไม่ได้ “ปลด”
Doug McMillon ซีอีโอของ Walmart ยอมรับตรงๆ ว่า AI จะเปลี่ยนรูปแบบงานแทบทุกงาน แต่บริษัทตั้งเป้าจะรักษาระดับพนักงานไว้เท่าเดิมแม้รายได้จะโตขึ้น โดยเน้นการ Reskill โดยงานเอกสารหรืองานซ้ำซากจะถูกแทนที่ด้วย Chatbot
พนักงานคลังสินค้าจะเปลี่ยนจากการใช้แรงงาน มาเป็นการใช้ความคิดแก้ปัญหา และควบคุมระบบอัตโนมัติแทน
อีกส่วนสำคัญของ Walmart คือเดิมพันมูลค่าบริษัทเทียบชั้น Tech Giants
การย้ายเข้า Nasdaq และชูจุดเด่นเรื่อง Retail Tech ทำให้ Walmart มีค่า P/E Ratio (อัตราส่วนราคาต่อกำไร) สูงถึง 40.3x ซึ่งสูงกว่า Amazon และ Microsoft เสียอีก แสดงให้เห็นว่านักลงทุนเริ่มเชื่อในสตอรี่ใหม่นี้แล้ว แม้นักวิเคราะห์บางส่วนจะยังมองว่าท้ายที่สุดกำไรของ Walmart ก็ยังมาจากธุรกิจค้าปลีกที่มีกำไรบางเฉียบอยู่ดี
นี่คือตัวอย่างของ Real World AI Use Case ที่น่ากลัวที่สุด เราเห็นบริษัทมากมายประกาศใช้ AI แต่ส่วนใหญ่มักจบลงที่การเอา ChatGPT มาช่วยตอบอีเมล แต่สิ่งที่ Walmart ทำคือการข้ามช็อตไปสู่ Agentic AI หรือการใช้ AI Agent หลายตัวทำงานประสานกันเพื่อแก้ปัญหาเฉพาะจุด
สิ่งที่น่าสนใจคือ Data Moat หรือ คูเมืองด้านข้อมูล Walmart ไม่ได้แข่งเรื่องความฉลาดของ AI กับ Google หรือ OpenAI แต่แข่งด้วยข้อมูลการซื้อขายจริง ที่สะสมมาหลายสิบปี ซึ่งเป็นสิ่งที่บริษัท Tech เพียวๆ ไม่มี
วันนี้ Walmart พิสูจน์แล้วว่า การเป็นเจ้าของข้อมูล (Data Owner) แล้วสร้าง AI มาครอบทับ คือกลยุทธ์ที่ทรงพลังกว่าการไปเช่าใช้ AI คนอื่น
ที่มา
Walmart’s AI strategy: Beyond the hype, what’s actually working








