ชีวิต (ออนไลน์) หลังความตาย เราไม่อยู่แล้ว แต่ Data Privacy ไปไหนต่อ

เราทุกคนมาโลกนี้ตัวเปล่า เมื่อถึงวันหนึ่ง เราก็ต้องจากไปตัวเปล่า แต่สิ่งที่แตกต่างกันคือ เราเหลืออะไรไว้ให้คนที่ยังอยู่บ้างหรือไม่ ?

ในยุคปัจจุบันที่โลกดิจิทัลเข้ามามีบทบาทมากมายกับชีวิตของเรา เคยคิดไหมว่า เมื่อเราจากโลกนี้ไป สิ่งที่อยู่บนโลกดิจิทัลจะเป็นอย่างไร

เดิมเราถ่ายภาพ เขียนเอกสาร สร้างสรรค์ผลงานไว้ คนอื่นก็สามารถเข้ามาดูสิ่งที่เราเหลือไว้ได้ หนังสือ ภาพยนตร์ แผ่นเพลงที่เราซื้อไว้ คนอื่นในครอบครัวก็นำไปแบ่งกันใช้ได้ แต่ถ้าสิ่งเหล่านี้ไปอยู่บนโลกดิจิทัลทั้งหมด ทั้งในสมาร์ตโฟน ในคอมพิวเตอร์ จนถึงในคลาวด์ของเรา เราจะจัดการสิ่งเหล่านี้อย่างไร

ในสมัยก่อน ชีวิตจัดการง่ายกว่านี้ แค่ทิ้งพินัยกรรมไว้ จัดเอกสารประกันชีวิตที่เป็นหมวดหมู่ ค้นพบง่าย แค่นั้นเอง แต่ในยุคนี้ เรามีกุญแจดิจิทัลที่เราฝากใครไว้ไม่ได้อยู่หลายดอก เช่น

1.รหัสผ่าน กุญแจลับที่มีเรารู้คนเดียวอยู่ในสมอง ตอนที่เรายังมีชีวิต เราอาจจะไม่อยากเผยแพร่ แต่เมื่อเราจากโลกนี้ไปแล้ว รหัสผ่านที่เข้าสู่หลายบริการอาจจะเป็น “ความสุข” ให้กับคนที่ยังอยู่ ดังนั้น เราน่าจะลองตัดสินใจไว้แต่เนิ่น ๆ ว่า ต้องการจะทำอย่างไรกับรหัสผ่านเหล่านี้

  • อีเมล : อีเมลหลักที่เราใช้ ไม่เพียงไว้รับส่งจดหมาย แต่ยังใช้เป็น username เข้าใช้บริการอื่น ๆ ด้วย
  • โซเชียล : อีกหนึ่งตัวตนของเรา หลายบริการ เช่น Facebook มีระบบให้ญาติแจ้งยืนยันเข้าไปว่า ผู้ใช้เสียชีวิตแล้ว แต่หากเรามอบรหัสผ่านให้คนที่ยังอยู่ คนเหล่านั้นอาจจะเข้ามาใช้ประโยชน์ได้ต่อ
  • ระบบคลาวด์ : พื้นที่เก็บข้อมูล, server, domain name ซึ่งอาจมีข้อมูลสำคัญ ที่อาจมีเราเพียงคนเดียวที่เข้าไปได้
  • AppStore หรือ Google Play : หรือบัญชีอื่น ๆ ซึ่งเราใช้ซื้อแอพฯ หนัง เพลง เกม ฯลฯ ไว้ หากเราต้องการให้คนข้างหลังเราได้ใช้งานเนื้อหาเหล่านี้ต่อ เราควรเตรียมการให้มีการเข้าถึงได้

วิธีที่ง่ายแต่อาจจะเหนื่อยที่สุด คือการเขียนรหัสเหล่านั้นไว้ในกระดาษ เมื่อมีคนที่มีสิทธิ์เข้าดูเอกสารส่วนตัวของเราได้อ่าน เขาก็จะสามารถเข้าถึงเนื้อหาต่าง ๆ ของเราได้

หรือถ้าจะเป็นวิธีที่ทันสมัยหน่อย ในต่างประเทศก็จะมีบริการ เช่น GhostMemo หรือ Afternote ที่จะให้เราเขียนข้อความสั่งเสียไว้ก่อน แล้วเมื่อถึงวันที่เราเสียชีวิต ข้อความนั้นจะถูกส่งไปยังคนที่เราตั้งค่าไว้

GhostMemo

แล้วบริการนั้นจะรู้ได้อย่างไรว่าเราไม่อยู่แล้ว ? คำตอบคือ มันจะขยันส่งเมลมาถามว่าเรายังมีชีวิตหรือไม่ เช่น ทุก 2 สัปดาห์ (เราตั้งได้) ถ้าเราไม่กดตอบตามเวลา มันก็จะคิดว่าเราไม่อยู่แล้ว และเริ่มดำเนินการแจ้งแก่ญาติตามที่กำหนด

อีกวิธีคือใช้แอพพลิเคชันที่ช่วยจัดการรหัสผ่านให้เราแทน ซึ่งแอพฯ นี้จะรู้รหัสผ่านในทุก ๆ บริการของเรา และเราเพียงจดจำรหัสเข้าแอพฯ นั้นอย่างเดียว ซึ่งจะง่ายต่อการบอกต่อ หรือบางทีเราอาจไม่ต้องบอกรหัสผ่านทั้งหมด แต่บอกลำดับแนวคิดในการใช้งานบริการต่าง ๆ ของเรา เช่น อีเมลนี้คืออีเมลหลัก อีเมลนี้คือสำรอง ถ้าเป็นอีเมลจะใช้รหัสแบบนี้ ถ้าเป็นบริการอื่นจะใช้รหัสแบบนี้ ฯลฯ

2.เบอร์โทรศัพท์ เบอร์โทรศัพท์ หรือซิม นอกจากมีไว้โทรแล้ว ยังมีไว้ใช้รับรหัสผ่านแบบใช้ครั้งเดียว หรือ OTP ซึ่งเป็นระบบความปลอดภัยขั้นสูง ดังนั้น อย่าลืมแนะนำให้ญาติเก็บซิมไว้ก่อน จนกว่าจะดำเนินการธุรกรรมทุกอย่างเสร็จเรียบร้อย


3.ข้อมูลในคอมพิวเตอร์
แน่นอนว่าเราไม่อยากจากไปโดยทิ้งความอับอายไว้ข้างหลังแน่นอน หากใครมีข้อมูลอะไรที่ไม่อยากให้ใครในโลกนี้อีกแล้วเข้าถึงได้ นอกจากตัวเรา ควรจะหาก้อนฮาร์ดดิสก์ที่ใส่รหัสผ่านได้ เพื่อเก็บข้อมูลนั้นแบบเข้ารหัส แล้วให้ข้อมูลเหล่านั้นจากโลกนี้ไปพร้อมกับเราจริง ๆ

4.รหัสปลดล็อกอุปกรณ์ เดี๋ยวนี้อุปกรณ์ไฮเทคหลายชิ้นต้องมีการตั้งรหัสปลดล็อกไว้ เช่น iPhone หากไม่ปลดล็อกด้วย iCloud ก็ไม่สามารถนำเครื่องไปล้างและให้คนอื่นใช้งานต่อได้ รหัส iCloud จึงเป็นหนึ่งในรหัสที่จำเป็น หรือจะเป็นรหัสผ่านเข้าคอมพิวเตอร์ รหัสผ่านเข้ามือถือ แท็บเล็ต ทีวี เกม อุปกรณ์บลูทูธ และสารพัด ซึ่งสมควรจะให้คนที่ยังอยู่ได้ใช้ประโยชน์จากมันต่อไป

นี่เป็น 4 อย่างที่คนไอทีควรคิดและเตรียมตัวไว้เนิ่น ๆ เพราะวันสุดท้ายของชีวิตอาจจะเป็นวันไหนก็ได้….

ไอทีเด็ด Comtoday ฉบับที่ 520