สป.วท. ทุ่มงบหนุน StartUp ไทย จัดงาน Government Procurement Transformation

กระทรวงวิทยาศาสตร์ฯ ทุ่มงบ 1 พันล้าน หนุน StartUp ช่วยให้ภาครัฐบริการสาธารณะได้ดีขึ้น ทําให้ประชาชนสามารถเข้าถึงบริการต่างๆ ของภาครัฐได้สะดวก คาดโต 3 หมื่นล้าน…

สป.วท. ทุ่ม 1 พันล้าน ดึง StartUp ช่วยรัฐ

ดร. สุวิทย์ เมษินทรีย์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี (วท.) กล่าวว่า สิ่งที่วันนี้รัฐบาลให้ความสำคัญคือ การสร้างความพร้อมให้ทุกภาคส่วน การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานที่จำเป็นและเอื้อต่อภาคธุรกิจในยุคดิจิทัล การปรับปรุงกฎหมายให้ทันสมัย

และการขยายความร่วมมือกับภาคเอกชนในการพัฒนาประเทศในมิติต่างๆ เพื่อการก้าวไปสู่ไทยแลนด์ 4.0 โดยมีเป้าหมายในการสร้างเศรษฐกิจเติบโตอย่างก้าวกระโดด และที่สำคัญยกระดับการขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศด้วย INNOVATION NATIONของกระทรวงวิทยาศาสตร์ และเทคโนโลยี คือ

  1. การผลักดันให้สังคมสร้างเศรษฐกิจไปสู่เศรษฐกิจฐานนวัตกรรม
  2. การเตรียมคนไทยสู่ศตวรรษที่ 21

จากเศรษฐกิจของโลกที่เปลี่ยนไวเป็นเท่าทวีคูณ คือข้อพิสูจน์ว่า ประเทศเราจะอยู่เฉยไม่ได้อีกแล้ว ในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา การเติบโตของ GDP ของประเทศไทยเฉลี่ยอยู่ที่ 3.5% เท่านั้น ทั้งนี้มาจากหลายปัจจัย ไม่ว่าจะเป็น นักลงทุนต่างชาติย้ายฐานการผลิตไปยังประเทศที่มีต้นทุนการผลิตถูกกว่า

หรือโยกกลับไปผลิตเองโดยใช้เทคโนโลยีล้ำสมัยทดแทนแรงงาน หรือแรงงานผู้เชี่ยวชาญในภาคอุตสาหกรรมลดลงจากการเข้าสู่สังคมสูงวัย เพื่อยกระดับประเทศสู่การปฏิรูปประเทศไทยด้วยนวัตกรรม (Reinventing Thailand via Innovation)

  • จากที่เคย ทำมาก…ได้น้อย เปลี่ยนเป็น ทำน้อย…ได้มาก
  • เปลี่ยนจาก สินค้าโภคภัณฑ์ ไปสู่สินค้านวัตกรรม
  • พัฒนาภาคอุตสาหกรรม ขับเคลื่อนด้วยเทคโนโลยี ความคิดสร้างสรรค์ และนวัตกรรม
  • พัฒนาภาคการเกษตร ยกระดับสู่การเป็นผู้ประกอบการเกษตร Smart Farming
  • พัฒนาภาคบริการ และการท่องเที่ยว ยกระดับบริการให้มีมูลค่าสูง ผสมผสานความคิดสร้างสรรค์เข้ากับวัฒนธรรม ต่อยอดภูมิปัญญาวิถีไทย
  • เปลี่ยน SME สู่ Smart Enterprise และ Startup ที่มีศักยภาพสูง
  • เชื่อมโยงข้อมูลภาครัฐ พัฒนาคุณภาพการบริการที่สะดวก รวดเร็ว
  • พัฒนาย่านนวัตกรรม เชื่อมโยงเครือข่ายนวัตกรรมในพื้นที่
  • เชื่อมโยงเครือข่ายสู่ระดับนานาชาติ

ประเทศไทย เริ่มทำ “นวัตกรรม” มาแล้ว แต่วันนี้ ต้องก้าวไปข้างหน้า จะต้องแข็งแกร่งขึ้น เพื่อให้ประเทศเติบโต โดยทุกหน่วยงานต้องมาร่วมกัน ต้องบูรณาการกัน เพื่อให้ประเทศดีขึ้น

“นวัตกรรม” เป็นเรื่องของทุกคน ไม่ใช่ของภาครัฐ หรือเอกชน เพราะปัจจุบันวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีได้เข้ามา การเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วและก้าวกระโดด ครอบคลุมแทบทุกอุตสาหกรรม ตั้งแต่ภาคเกษตรกรรม คมนาคม การศึกษา การแพทย์ ไปจนถึงธนาคารและการเงิน ซึ่งทั้งหมดล้วนเป็น “นวัตกรรม” ที่อยู่รอบตัวเราทุกคนทั้งสิ้น

นวัตกรรม เป็นตัวแปรที่ช่วยขยายขีดความสามารถและความคิดสร้างสรรค์ของมนุษย์ จนเกิดอาชีพใหม่ๆ ขึ้นมาแทนที่ โดยในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมาเรายังได้เห็นบริษัทเล็กๆ ทั่วโลก แซงขึ้นมาอยู่แถวหน้าของวงการธุรกิจในเวลาสั้นๆ บริษัทเล็กๆ เหล่านี้พัฒนาธุรกิจอย่างก้าวกระโดด ธุรกิจเหล่านี้ คือ “สตาร์ทอัพ”

Government Procurement Transformation ปลดล็อคข้อจำกัด พัฒนาสตาร์ทอัพ สู่ตลาดภาครัฐ”

งานนี้จะช่วยเบิกทางสตาร์ทอัพสู่เส้นทางจัดซื้อจัดจ้างภาครัฐ สร้างมิติใหม่ที่จะเพิ่มประสิทธิภาพทางนวัตกรรมของอุตสาหกรรมเทคโนโลยีภาครัฐ (Government Technology) ช่วยให้ภาครัฐบริการสาธารณะได้ดีขึ้น ทําให้ประชาชนสามารถเข้าถึงบริการต่างๆ ของภาครัฐได้สะดวก โดยจัดแสดงนวัตกรรมจากสตาร์ทอัพที่ประสบความ

สำเร็จทางธุรกิจและพร้อมให้บริการแก่ภาครัฐและเอกชน กว่า 80 ราย ใน 7 โซลูชั่น ตั้งเป้าให้เกิดการซื้อขายระหว่างภาครัฐกับสตาร์ทอัพภายในงาน 1,000 ล้านบาท และเผยเป้าหมายตลาดภาครัฐสำหรับสตาร์ทอัพทางด้านอุตสาหกรรมเทคโนโลยีภาครัฐ สามารถเติบโตได้ถึง 30,000 ล้านบาท (หรือ 1% ของงบประมาณภาครัฐ)

สิ่งที่วันนี้รัฐบาลให้ความสำคัญคือ การสร้างความพร้อมให้ทุกภาคส่วน การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานที่จำเป็นและเอื้อต่อภาคธุรกิจในยุคดิจิทัล การปรับปรุงกฎหมายให้ทันสมัย และการขยายความร่วมมือกับภาคเอกชนในการพัฒนาประเทศในมิติต่างๆ เพื่อการก้าวไปสู่ไทยแลนด์ 4.0

โดยมีเป้าหมายในการสร้างเศรษฐกิจเติบโตอย่างก้าวกระโดด และที่สำคัญยกระดับการขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศด้วย INNOVATION NATION  ซึ่ง “นวัตกรรม” เป็นตัวแปรที่ช่วยขยายขีดความสามารถและความคิดสร้างสรรค์จนเกิดอาชีพใหม่ๆ ขึ้นมา

โดยในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา บริษัทเล็กๆ ทั่วโลกได้แซงขึ้นมาอยู่แถวหน้าของวงการธุรกิจในเวลาสั้นๆ บริษัทเล็กๆ เหล่านี้พัฒนาธุรกิจอย่างก้าวกระโดด ธุรกิจเหล่านี้ ก็คือ “สตาร์ทอัพ” ซึ่งตลอดระยะเวลา 3-4 ปี กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ได้พัฒนาและส่งเสริมสตาร์ทอัพ

เพื่อเป็นนักรบเศรษฐกิจใหม่ของประเทศ และเห็นถึงความสำคัญในการพัฒนาสตาร์ทอัพในอุตสาหกรรมเทคโนโลยีภาครัฐ (หรือ GovTech) ที่เริ่มมีการตื่นตัวมากขึ้น  เพื่อช่วยให้ภาครัฐบริการสาธารณะได้ดีขึ้น ทําให้ประชาชนสามารถเข้าถึงบริการต่างๆ ของภาครัฐได้สะดวก

งานนี้ก้าวเริ่มต้นแรกที่สำคัญของการนำนวัตกรรมของสตาร์ทอัพมาให้ภาครัฐ โดยนำเทคโนโลยีและนวัตกรรมมาข่วยเพิ่มประสิทธิภาพของการทำงานและพัฒนาการให้บริการแก่ประชาชนทั่วประเทศ รวมทั้งจะเป็นการเพิ่มการลงทุนให้กับระบบนิเวศของสตาร์ทอัพ โดยภาครัฐจะเป็นตัวเร่งการตลาด  (Government as a Market Accelerator)

โดยตั้งเป้าให้เกิดการซื้อขายระหว่างภาครัฐกับสตาร์ทอัพเป็นครั้งแรกภายในงานนี้ ไน้อยกว่า  1,000 ล้านบาท  พร้อมเผยเป้าหมายตลาดภาครัฐสำหรับสตาร์ทอัพทางด้านอุตสาหกรรมเทคโนโลยีภาครัฐ (หรือ GovTech) สามารถเติบโตได้ถึง 30,000 ล้านบาท (หรือ 1% ของงบประมาณภาครัฐ)

ด้าน รศ.นพ. สรนิต ศิลธรรม ปลัดกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี กล่าวว่า ได้ประชุมร่วมกับกลุ่มผู้ประกอบการสตาร์ทอัพ และหารือแนวทางการจัดงานร่วมกับเลขาธิการ ก.พ.ร. และปลัดกระทรวงต่างๆ ร่วมมือกันเริ่มต้นจัดงานสตาร์อัพแฟร์นี้เป็นครั้งแรก

โดยภายในงานจะมี STARTUP Zone จาก 80 สตาร์ทอัพ จัดแสดงนวัตกรรมที่พร้อมให้บริการแก่ภาครัฐ และเอกชน ใน 7 โซลูชั่น (Solution) ได้แก่

  1. การพัฒนากำลังคนภาครัฐและการสื่อสารนโยบายสาธารณะ
  2. การพัฒนาการท่องเที่ยวและส่งเสริมวัฒนธรรมและพื้นที่เรียนรู้
  3. การบริการสาธารณูปโภค
  4. การอำนวยความสะดวกทางธุรกิจ
  5. รัฐบาลดิจิตอล
  6. ความมั่นคงและการป้องกันประเทศ
  7. การพัฒนาตลาดในประเทศ

พร้อม Business Matching การให้บริการจับคู่ธุรกิจระหว่างภาครัฐกับสตาร์ทอัพ  Procurement Pavilion  ให้ความรู้เรื่องกระบวนการจัดซื้อจัดจ้างภาครัฐ พร้อมการสนับสนุนสตาร์ทอัพจากหน่วยงานภาครัฐ ได้แก่ ธนาคารออมสิน, ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร หรือ ธ.ก.ส.,

การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย EGAT, สำนักงานพัฒนารัฐบาลดิจิทัล DGA, การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย, รพ.อภัยภูเษศ  และสำนักงานนวัตกรรมแห่งชาติ หรือ NIA เวทีการสัมมนา ให้ความรู้เกี่ยวกับการพัฒนา GovTech และกรณีประสบความสำเร็จและการให้บริการในโซลูชั่นต่างๆ

โดยสตาร์ทอัพที่มีผลงานกับภาครัฐ  และเวทีการแข่งขัน GovTech Awards  ชิงความเป็นหนึ่งที่จะเป็นกำลังสำคัญในการขับเคลื่อนประเทศไทยไปพร้อมกับรัฐบาล โดยสตาร์ทอัพมืออาชีพ ใน 3 โจทย์หลัก ได้แก่

  1. Digital Government  การบริหารและบริการของภาครัฐ เพื่อบริการประชาชนได้อย่างตรงความต้องการและเข้าถึงได้สะดวกขึ้น ในกลุ่ม G2G : ภาครัฐสู่ภาครัฐ G2B : ภาครัฐสู่ภาคธุรกิจ G2E : ภาครัฐสู่ภาคข้าราชการและพนักงานของรัฐ และ G2C : ภาครัฐสู่ประชาชน
  2. Ease of Doing Business การอำนวยความสะดวกทางธุรกิจ เพื่อให้การดำเนินธุรกิจของภาคเอกชนมีความคล่องตัวและเพิ่มขีดความสามารถการแข่งขัน
  3. Public Services การบริการสาธารณูปโภคพื้นฐาน ด้านการแพทย์ ด้านอาหาร ด้านการท่องเที่ยว ซึ่งจะประกาศผลการแข่งขันในวันสุดท้ายของการจัดงาน

การดำเนินงานต่อไปในปี พ.ศ. 2562 ถึงเป้าหมายของการพัฒนาสตาร์ทอัพ คือ Thailand: STARTUP NATION ที่จะขับเคลื่อนประเทศไทยให้เป็น STARTUP Global Hub โดยรัฐและประชารัฐจะต้องร่วมกัน ขับเคลื่อนพัฒนานวัตกรรม และผลักดันให้นวัตกรรมไทยขยายการลงทุนสู่ตลาดต่างประเทศ

ส่งเสริมให้สตาร์ทอัพไทยก้าวข้ามตลาดของไทย 70 ล้านคน ไปสู่ตลาดที่ใหญ่กว่าทั้งในระดับภูมิภาคเอเชีย และตลาดโลกให้ได้  พร้อมกำหนด Position ของประเทศไทยเป็นแพลทฟอร์มสำหรับสตาร์ทอัพจากทั่วโลกเพื่อเข้าสู่ตลาดเอเชีย (Thailand is Startup’s Global Platform of Asia

และมีเป้าหมายภายในปี พ.ศ. 2564 (ค.ศ. 2021) เพิ่มจำนวนวิสาหกิจเริ่มต้นที่ขับเคลื่อนด้วยนวัตกรรมเป็น 1,000 ราย เพิ่มการจ้างงานผู้มีทักษะสูง 50,000 ตำแหน่ง สร้างผลกระทบเชิงเศรษฐกิจ 5% ของ GDP ประเทศไทย ดร. สุวิทย์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวิทยาศาสตร์ฯ กล่าวเสริม