จบไม่สวย MegaBots ประกาศขายหุ่นยนต์ยักษ์ผ่าน eBay หลังบริษัทล้มละลาย

จากบริษัทพัฒนาหุ่นยนต์ชื่อดังในสหรัฐฯ อย่าง MegaBots Inc. ที่เคยสร้างชื่อด้วยการพัฒนาหุ่นยนต์ขนาดยักษ์หนักกว่า 10 ตัน ขับเคลื่อนด้วยล้อรถถัง พร้อมติดอาวุธ (ที่ไม่อันตราย) สุดเท่ และบังคับจากภายในได้ พร้อมประสบการณ์ที่เคยลุยสนามแข่งขันมาแล้ว แต่ ณ ปัจจุบัน บริษัทดังกล่าวกลับอยู่ในช่วงล้มละลาย !!

ย้อนกลับไปเมื่อ 4 ปีก่อน ตอนนีั้นมีข่าวดังว่า ครั้งแรกของโลกที่กำลังมี ‘หุ่นยนต์ยักษ์สู้กัน’ โดยไม่ใช่ในเกมหรือหนัง แต่เป็นศึกหุ่นยนต์ยักษ์ของจริง ซึ่งผู้ที่ริเริ่มความคิดนี้คือ MegaBots Inc. ได้อัดคลิปท้าแข่ง ROBOT DUEL CHALLENGE ศึกแข่งขันหุ่นยนต์ยักษ์ไปยัง Suidobashi Heavy-based บริษัทพัฒนาหุ่นยนต์ยักษ์ชื่อดังในญี่ปุ่น (ที่พัฒนาเจ้า KURATAS) จากนั้นก็มีการแข่งขันเกิดขึ้น กลายเป็นอีกหนึ่งเหตุการณ์ประวัติศาสตร์ของโลกในช่วงนั้นเลย

การแข่งขันครั้งนั้นประสบความสำเร็จด้วยดี เพราะสามารถปิดยอดระดมทุนใน Kickstarter ได้ถึง 554,592 เหรียญฯ (ราว ๆ 16 ล้านบาท) เกินเป้า 500,000 เหรียญฯ โดยผู้ที่ระดมทุนมากถึง 10,000 เหรียญฯ จะได้รับสิทธิ์ในการทดลองขับหุ่น และร่วมประสบการณ์สร้างหุ่นจากทีมพัฒนาอย่างใกล้ชิดด้วย

ทว่าต่อมาในปี 2017 ทาง MegaBots ก็ได้จัดการแข่งขันอีกครั้งในชื่อ World’s First Giant Robot Tournament! แต่รอบนี้คว้าน้ำเหลวไม่เป็นท่า เนื่องจากทำยอดระดมทุนไปได้เพียง 54,370 เหรียญฯ เท่านั้น จากเป้าหมายที่ตั้งไว้สูงเกือบล้านหรือ 950,000 เหรียญฯ

ท้ายที่สุดนาย Matt Oehrlein ผู้ก่อตั้ง MegaBots ก็ได้ประกาศขายเจ้า Eagle Prime หุ่นยนต์ยักษ์ขนาด 16 ฟุต หนัก 15 ตัน หลังบริษัทไม่สามารถจ่ายดอกเบี้ยเงินกู้ได้จนเป็นสาเหตุให้ล้มละลาย ซึ่ง Matt Oehrlein ได้ขายตัวหุ่นผ่านการประมูลใน eBay โดยเริ่มต้นที่ 1 เหรียญฯ เท่านั้น (เหมือนประชดยังไงยังงั้น…) ปัจจุบันมียอดเสนอราคาประมูลอยู่ที่เพียง 50,500 เหรียญฯ ห่างไกลจากมูลค่าเดิมของตัวหุ่นอย่างมาก ซึ่งใช้งบพัฒนามากถึง 2.5 ล้านเหรียญสหรัฐฯ

อุปสรรค์สำคัญในการซื้อขายคือ หากประมูลได้ ก็ต้องเจอกับค่าจัดส่งที่แพงเอาเรื่อง เอาแค่ส่งภายในประเทศอย่างสหรัฐฯ ก็ต้องใช้ค่าจัดส่งประมาณ 4,000 – 17,000 เหรียญฯ เข้าไปแล้ว ถ้าส่งนอกประเทศ ก็ทะลุ 50,000 เหรียญฯ ขึ้นไปแน่นอน อีกทั้งตัวหุ่นยังมีงบซ่อมบำรุงดูแลไม่ใช่น้อยด้วย

ก็ปิดไปอย่างเศร้า ๆ สำหรับโปรเจคยักษ์ที่มีอายุกว่า 5 ปีนี้ ด้าน Matt Oehrlein ก็ได้กล่าวทิ้งท้ายว่า แม้จะล้มลาย แต่เขาก็มีความสุขที่ได้ทำมัน และทำให้โปรเจคนี้เกิดขึ้นได้

ที่มา : Techspot