รีวิว : Asus Zenfone 5 มาดใหม่หล่อกว่าเดิม คุณภาพเกินราคา

ศึกใหญ่ของ Mid Range สมาร์ทโฟนระดับกลาง ที่มีเป้าหมายเดียวกันคือ “ทำยังไงก็ได้ให้สเปกมีความ Hi-End แต่ราคาไม่ Hi-End ตาม” วันนี้มาพบกับสมาร์ทโฟนระดับกลางจาก Asus ที่รอบนี้ขอเอาชื่อ Zenfone มาลุยศึกอีกครั้งอย่าง Asus Zenfone 5

ย้อนไปสมัยที่ Asus แบรนด์ที่เคยผลิตแต่อุปกรณ์ PC มาตลอด อยู่ ๆ ก็กระโดดมาลุยฝั่งสมาร์ทโฟนกับเขาด้วย โดยสิ่งที่ทางบริษัท เอามาสู้กับแบรนด์ผู้ผลิตค่ายอื่นก็คือ “ความคุ้มราคา” ทำตัวเครื่องและสเปกให้ดูดีเกินราคา และวันนั้นทุกคนก็ได้รู้จักชื่อ “Zenfone” กลับมาปัจจุบัน Asus ก็เปิดตัว Zenfone รุ่นใหม่ ในชื่อว่า Zenfone 5 รุ่นต่อที่ยังคงความคุ้มราคาเช่นเคย แต่รอบนี้มาพร้อม Qualcomm Snapdragon ไม่ใช่ Intel Atom เหมือนก่อนแล้ว (น้ำตาจะไหล…) ซึ่งก็ถือเป็นหน่วยประมวลผลระดับกลาง แต่ถ้ายกเว้นสเปกซีพียูแล้ว สเปกที่เหลือของ Asus Zenfone 5 ถือได้ว่าเทียบเคียงกับสมาร์ทโฟนระดับเรือธงรุ่นอื่น ๆ เลย โดยเฉพาะหน้าจอและกล้องที่เด่นเป็นพิเศษ ส่วนจะพิเศษยังไง ก็ See More…. หรือเลื่อนลงมาดูกัน

สเปก Asus Zenfone 5 (2018)

หน้าจอ : ขนาด 6.2 นิ้ว ความละเอียด Full HD+ (2246×1080) ในสัดส่วน 18.7:9 มาพร้อม DCI-P3 95% และ Corning Gorilla Glass
หน่วยประมวลผล : Qualcomm Snapdragon 636 Octa Core
ชิปกราฟฟิก : Qualcomm Adreno 509
แรม : 4GB
รอม : 64GB
กล้องหลังคู่ : ความละเอียด 12 ล้านพิกเซล (รูรับแสง f/1.8) + 8 ล้านพิกเซล (รูรับแสง f/2.0) มุมกว้าง 120 องศา ถ่ายวิดีโอ 4K@30fps, 1080p@30/60fps
กล้องหน้า : 8 ล้านพิกเซล f/2.0
การเชื่อมต่อ : Wi-Fi 802.11 a/b/g/n/ac, Bluetooth 5.0 และพอร์ต USB-C 2.0 กับ 3.5mm headphone jack
แบตฯ : Li-Ion 3300mAh
ระบบความปลอดภัย : ที่สแกนลายนิ้วมือหลังเครื่อง และระบบ Face Unlock
ขนาดตัวเครื่อง : 153 x 75.7 x 7.9 mm
น้ำหนัก : 155 g
ระบบปฏิบัติการ : Android 8.0 (Oreo)

แกะกล่อง

กล่องมาแบบสีกรมท่าเรียบหรู ตัดกับสีเงินของตัวเครื่อง Asus Zenfone 5 ได้ลงตัวมาก

วัดสุและดีไซน์

แรกสัมผัส สิ่งแรกที่แวบในหัวเลยคือ “นี้คือสมาร์ทโฟนระดับกลางจริงหรือ ?” หน้าจอตัวเครื่องให้สีสันสวยามและคมชัดมาก แม้จะไม่ใช่จอระดับ OLED ก็ตาม เชื่อว่าหลายคนคงอดไม่ได้ที่จะเอาไปเทียบกับ iPhone X (ตอนเอาไปโชว์ให้เพื่อนดู เพื่อนนึกว่าเป็น iPhone X ซะงั้น….) เนื่องจากมันมีหน้าตาคล้ายคลึงกันไม่น้อย ถึงอย่างนั้น ตอนเปิดตัวทาง Asus ประกาศเลยว่า “รอยบาก (notch) ของเรา เล็กกว่า iPhone X นะ” ซึ่งก็เล็กกว่าจริง ๆ และตรงขอบหน้าจอด้านล่าง ตัว Zenfone 5 ยังไม่ชิดขอบซะทีเดียว ซึ่งก็เหมือนกับสมาร์ทโฟน Android ทุกรุ่นในปัจจุบัน

หากไม่นับขอบจอด้านล่าง ก็ต้องบอกเลยว่า Asus Zenfone 5 เป็นสมาร์ทโฟนไร้ขอบจริงแท้ สำหรับส่วนที่เป็นรอยบาก ก็มีทั้งกล้องหน้าความละเอียด 8 ล้านพิกเซล กับกล้อง Face Unlock สำหรับปลดล็อคใบหน้า และลำโพง

ถึงด้านล่างจะยังไม่ไร้ขอบ แต่ก็ถือว่าน้อยมาก ๆ แล้ว เมื่อเทียบกับสมาร์ทโฟน Android รุ่นอื่น

มาดูที่วัสดุกันบ้าง ตัว Asus Zenfone 5 ก็ใช้ขอบอลูมิเนียมสีเงินแข็งแรง มีความหรูหรา มีความหนักนิด ๆ มีความโค้งมน และความหนากำลังดี (เอาตรง ๆ ผมไม่ค่อยชอบสมาร์ทโฟนดีไซน์บาง ๆ มากนัก เพราะมันจับแล้วหลุดมือง่ายมาก และทำให้ตัวเครื่องดูบอบบางไปหน่อย) จับแล้วกระชับมือดี ไม่หลุดร่วงง่าย ๆ

ส่วนปุ่มด้านข้าง ก็มีเพียงปุ่ม Power กับปุ่มปรับเสียงเท่านั้น อีกฝั่งก็เป็นช่องใส่ SIM และ SD Card

ขอบด้านบนมีเล่นลวดลายเล็กน้อย ส่วนขอบด้านล่างก็รูหูฟัง 3.5 mm พอร์ต USB-C และลำโพงอีกตัว

ด้านหลังเครื่อง ก็ยังคงความเป็นเอกลักษณ์ Zenfone ซีรีย์เหมือนเคย คือการทำลวดลายสะท้อนแสงจากจุดเดียว อารมณ์เหมือนแสงสะท้อนจากดวงอาทิตย์ ซึ่งจะสวยงามมาก หากอยู่ในที่มีแสงเยอะ ๆ ทำให้ตัวเครื่องดูเด่นขึ้นทันตา

ส่องจุดสะท้อนแสงแบบชัด ๆ

สำหรับกล้องหลังคู่ ก็มาเป็นแนวตั้งบนขอบที่นู้นออกมาเล็กน้อย ส่วนไฟแฟลชก็ไปอยู่นอกวง โดยอยู่ตรงด้านล่างแทน ส่วนตัวคิดว่า น่าจะทำให้อยู่ในวงเดียวกันไปเลยดีกว่า

UI

ยกโฉม ASUS ZenUI 5.0 ที่ครอบทับ Android 8.0 (Oreo) ดูเหมือน Asus จะไม่ค่อยปรับหน้าตาเดิมมากนัก ทำให้ตัวเครื่องมีกลิ่นอายของ Pure Android ไม่น้อย แต่มีสีสันจัดจ้านกว่า

ส่วนหน้าเมนูตั้งค่า ก็ตามสไตล์ Android 8.0 (Oreo)

สำหรับส่วนพิเศษของ Asus Zenfone 5 ก็คือฟีเจอร์ช่วยจัดการระบบภายในแบบครบชุด อาทิ สแกนไวรัส/มัลแวร์ เคลียร์แคชเพิ่มเนื้อที่ โหมดประหยัดแบตฯ ซึ่งเราไม่ต้องติดตั้งเพิ่มเติมเลย สามารถเปิดใช้งานได้ทันที ทั้งนี้เหมือน Asus จะเอา AI มาช่วยประมวลผลในส่วนนี้ด้วย ทำให้มันมีความแม่นยำและรวดเร็วเป็นพิเศษด้วย จากที่ลองใช้งานดูแล้ว

ในหน้าแรก เราจะเห็นไอคอน App ที่มีชื่อว่า “Selfie Master” มันคือฟีเจอร์ ที่เอื้อต่อการ Selfie ตามชื่อเลย โดยภายในก็มี AR Emoji อย่าง ZeniMoji ที่มาพร้อม Animation น่ารัก ๆ ทั้ง 3 แบบ สามารถเคลื่อนไหวได้ตามใบหน้าของเรา (หลายคนน่าจะคุ้นเคยฟีเจอร์นี้ตั้ง แต่ iPhone X กับ S9/S9 Plus แล้ว)

ประสิทธิภาพ

ลองวัดความแรงของ Snapdragon 636 พร้อมแรม 4GB ด้วย AnTuTu Benchmark ก็ได้คะแนนไป 136,019 ส่วนความเร็วอ่านเขียนของรอม 64GB ก็ได้ไป 289.9 MB/s ต่อ 209.31 MB/s แม้ความเร็วการอ่านยังเทียบกับ UFS ไม่ได้ แต่ความเร็วการเขียนทำได้ดีเกินคาด โดยดีกว่า eMMC 5.1 ซะอีก

ลองเทสเกม PUBG Mobile ก็ยังลื่น ๆ หน่วง ๆ ตามสเปกครับ

กล้อง

มาถึงไฮไลท์เด็ดของ Asus Zenfone 5 แล้ว นั้นก็คือกล้องหลังคู่ความละเอียด 12 + 8 ล้านพิกเซล ที่มาพร้อมเลนส์มุมกว้างกับระบบ AI ที่ Asus ดูภาคภูมิใจมากตอนเปิดตัว จะเด็ดจริงไหม ลองมาดูกัน

อย่างแรกโหมด HDR (High Dynamic Range) ที่ช่วยจัดองค์ประกอบของแสงในภาพให้สมดุลขึ้น ซึ่งโหมดนี้เอง ก็น่าจะมีในสมาร์ทโฟนกับทุกรุ่นแล้ว ส่วนของ Asus Zenfone 5 เป็นไง ลองเทียบภาพถ่ายธรรมดา กับภาพถ่าบแบบเปิดโหมด HDR แล้ว ก็ได้ตามนี้

ซ้ายปิด HDR ขวาเปิด HDR หลังเปิดโหมดนี้แล้ว ก็ทำให้เห็นรายละเอียดของภาพแบบชัดเจนเลย ท้องฟ้าเก็บหมด ภาพมีความสว่างขึ้น สีสันก็ดูสวยสดทันตา

สำหรับกล้องหลังคู่ของ Asus Zenfone 5 ตัวหนึ่งมีความละเอียด 12 ล้านพิกเซล ให้ภาพมุมกว้างได้ 86 องศา ส่วนอีกตัวมีความละเอียด 8 ล้านพิกเซล ให้ภาพมุมกว้างถึง 120 องศา ทั้งสองเลนส์ก็สามารถสลับใช้งานได้อิสระ โดยพอลองปรับไปใช้เลนส์มุมกว้าง 120 องศาแล้ว ก็ทำให้เราสามารถเก็บภาพที่อยู่ตรงหน้าได้หมดจด เทียบได้กับระดับสายตาคนเราเลย

ลองทดสอบระบบ AI ที่ว่าสามารถแยกแยะชนิดภาพที่ถ่ายได้ พอลองเอากล้องจ่อไปที่ดอกไม้ ก็จะมีไอคอนรูปดอกไม้ปรากฏทันที จากนั้นมันจะช่วยปรับแสงสีให้เหมาะกับภาพดอกไม้นี้ขึ้นเอง ก็ถือว่าดีงามมากสำหรับใครที่ชอบถ่ายภาพ Auto Mode หรือโหมดถ่ายภาพอัตโนมัติ

นอกจากโหมดถ่ายภาพอัตโนมัติแล้ว ก็ยังมีโหมดอื่น ๆ ตามภาพเลยครับ

ทดสอบวิดีโอและกันสั้น 4 แกนของ Asus Zenfone 5

ตัวอย่างภาพถ่าย

สรุป

ในงบ 13,900 บาท บอกราคาเลยละกัน ไม่ต้องลีลาอะไรละ ในราคาเท่านี้แต่ได้คุณภาพระดับ Hi-End ถือเป็นอะไรที่ไม่ได้เห็นมานานแล้ว สำหรับสมาร์ทโฟนระดับกลาง Asus Zenfone 5 นับเป็นตัวเลือกที่ดีเลย โดยเฉพาะความคุ้มราคากับสเปก ที่แม้จะไม่ได้ใช้หน่วยประมวลผลระดับ Top สุด แต่ส่วนอื่น ๆ ก็ Top มากแล้ว อย่างหน้าจอตัวเครื่อง ที่แม้จะมีรอยบากชวนขัดใจสำหรับบางท่าน แต่ความคมชัดเป็นของจริง ด้วยค่า DCI-P3 สูงถึง 95% ให้สีสันได้เหนือชั้นมาก คือถ้าไปเห็นด้วยตาตัวเอง จะรู้สึกเลยว่าสีจอสวยจริง และด้วยหน้าจอแบบนี้เอง ก็ทำให้ตัวเครื่องมันดูสวยตาม และทั้งดีไซน์ไร้ขอบ วัสดุอลูมิเนียม กับสีเงินของตัวเครื่องเอง ก็ยิ่งทำให้มันมีราคา

ถัดมาคือระบบ AI ที่จะได้ใช้บ่อยมากเวลาถ่ายรูป คือมันรู้หมดว่าเรากำลังถ่ายอะไร มันก็ช่วยปรับแต่งภาพนั้น ๆ ให้เอง คือถ่ายเสร็จขึ้นโชว์ได้เลย ไม่ต้องแต่งอะไรเพิ่มเติมแล้ว จุดเด่นนี้ก็ช่วยเอื้อต่อโหมดถ่ายภาพอัตโนมัติอย่างมาก เจออะไรก็ยกถ่ายได้ทันที ส่วนความคมชัดถือว่ากำลังดี ยังไม่โหดเท่ารุ่นเรือธง

สุดท้ายคือ ASUS ZenUI 5.0 ที่ยังให้ความรู้สึกเหมือน Pure Android คือดูเงียบง่าย ใช้งานไม่ยุ่งยาก ส่วนตัวฟีเจอร์ช่วยจัดการระบบภายในอย่าง สแกนไวรัส/มัลแวร์ เคลียร์แคชเพิ่มเนื้อที่ โหมดประหยัดแบตฯ ทุกอย่างมี AI อยู่เบื้องหลัง ช่วยแนะนำและจัดการระบบต่าง ๆ เองอัตโนมัติ เหมาะสำหรับผู้ใช้มือใหม่หรือผู้ใช้ที่เน้นใช้งานอย่างเดียวครับ