นาฬิกาอัจฉริยะ, Smartwatch, Sport Smartwatch เหล่าชื่อเรียกที่นิยมเรียกกัน แต่สำหรับผมก็ยังอยากเรียกมันว่า ‘เครื่องสร้างแรงบันดาลใจ’ รีวิวนี้มาพบกับ Fitbit Versa 2 ภาคต่อของ Fitbit Versa หรือ Smartwatch รุ่นแรกจาก Fitbit ที่รอบนี้ได้พัฒนามาจนถึงรุ่นที่ 2 แล้ว โดยมีการปรับปรุงและเพิ่มฟีเจอร์เข้ามาใหม่เพียบ อาทิ จอแสดงผลตลอดเวลา Always-On Display, มี NFC (ไว้ใช้กับ Fitbit Pay) สั่งการด้วยเสียงผ่าน Alexa Built-in, ควบคุมการฟังเพลงได้, เชื่อมต่อ GPS กับสมาร์ทโฟนแบบ Real-Time และอีกเพียบ

แต่ก่อนจะไปเข้าสู่ช่วงรีวิว บางท่านอาจเพิ่งเคยเห็น Fitbit Versa 2 เป็นครั้งแรก จึงยังงง ๆ อยู่ว่ามันคืออะไร และทำไมผมถึงเรียกมันว่า เครื่องสร้างแรงบันดาลใจ สำหรับตัว Fitbit Versa 2 ก็เป็น Smartwatch หรือนาฬิกาอัจฉริยะรุ่นหนึ่ง ที่มีการใช้งานคล้ายสมาร์ทโฟน คือลงแอพฯ ได้ มีจอสัมผัสกับต่อชาร์จแบตฯ ได้ แต่โทรออกหรือเล่นเน็ตไม่ได้ ต้องมีสมาร์ทโฟนเป็นผู้ช่วย ถึงจะใช้งานได้เต็มรูปแบบ

นอกจากนี้ตัว Fitbit Versa 2 ยังเป็น Fitness Tracker ที่สามารถตรวจจับการเต้นของหัวใจได้ ช่วยวัดค่าสถานะต่าง ๆ ของร่างกายเราออกมาเป็น ‘ตัวเลข’ ซึ่งหากเรามีการออกกำลังกายหรือเคลื่อนไหวร่างกายตลอดเวลา ตัวเลขก็จะออกมาดี และเราสามารถนำตัวเลขดังกล่าวไปโชว์ในโลกออนไลน์ หรือโชว์ให้ตัวเองดูเพื่อเป็นการสร้าง ‘แรงบันดาลใจ’ ให้เราอยากออกกำลังกายต่อไปนั้นเอง

รายละเอียด Fitbit Versa 2

แกะกล่อง

ในกล่อง Fitbit​ Versa​ 2 ก็มาพร้อมสายสำรอง 2 แบบ 2 ขนาด (S กับ L) มาให้เลย นอกนั้นก็มีตัว Fitbit​ Versa​ 2 กับชุดคู่มือ

และชุดชาร์จไฟผ่าน USB แบบเดียวกับ Fitbit​ Versa​ รุ่นแรก สามารถนำตัวเครื่องไปวางประกบเพื่อชาร์จได้ทันที (จากเมื่อก่อนต้องถอดสายออกเช่นรุ่น Fitbit Blaze)

วัสดุและดีไซน์

สำหรับตัว Fitbit​ Versa​ 2 ที่รีวิวนี้คือรุ่น Special Edition สีเทา Smoke Woven/Mist Grey แบบพิเศษ มาพร้อมสายถักสีเทาอย่างหรู ดูแมน ๆ ดี (หากผู้หญิงใส่ก็ดูทะมัดทะแมงดีครับ)

ดีไซน์ของตัว Fitbit​ Versa​ 2 คือมาเป็นทรงสีเหลี่ยม แต่ขอบโดยรอบออกโค้งมน เมื่อรวมกับวัสดุที่เป็นอลูมิเนียม ทำให้ตัวเครื่องดูมีราคา พอเทียบได้กับนาฬิกาหรูเลยทีเดียว อีกทั้งยังเป็น Unibody หรืออลูมิเนียมชิ้นเดียว ทำให้มีความทนทานสูง

หน้าจอของ Fitbit​ Versa​ 2 ก็มาพร้อมความละเอียด 300 x 300 เป็นจอสัมผัสแบบ OLED สวยคมชัดพอควร สู้แสงแดดได้ดีเลย

ส่องสายถักของ Fitbit​ Versa​ 2 รุ่น Special Edition แบบชัด ๆ

การถอดสายของ Fitbit​ Versa​ 2 ก็ทำได้ง่าย ๆ เพียงแค่ดันตัวข้อที่ยื่นออกมา โดยดันออกตามช่องที่มันเว้นให้ ก็สามารถถอดตัวสายออกมาได้แล้ว

สำหรับ Fitbit​ Versa​ 2 รุ่น Special Edition ต้องบอกก่อนว่ารุ่นนี้ จะมีราคาต่างจากรุ่นปกติอยู่ประมาณ 1 พันบาทกันเลย โดยแลกกับสายรัดแบบถักอย่างดีมาแทน จากประสบการณ์ตรง ตอนใช้ Fitness Tracker อื่น ๆ ที่เป็นสายยาง พอใช้ไปนาน ๆ ตัวยางจะเริ่มเปื่อยซะงั้น ไม่แน่ใจว่า Fitbit​ Versa​ 2 รุ่นปกติ (สายยาง) จะเป็นเหมือนกันไหม แต่สายถักของรุ่น Special Edition นี้ หลังใช้มา 1 อาทิตย์ต้องยอมรับเลยว่า มันให้ Feeling ที่ดีกว่าสายยางพอควรเลยครับ

การใช้งาน

การเปิดใช้งาน Fitbit​ Versa​ 2 ครั้งแรก ก็เหมือนกับรุ่นก่อน ๆ ตรงที่ มันจะให้เราเสียบชาร์จตัวเครื่องก่อน จากนั้นก็ทำการเชื่อมต่อกับสมาร์ทโฟนผ่านแอปฯ Fitbit ขั้นตอนนี้บอกเลยว่า ใช้เวลานาน ใครที่คิดจะแกะกล่องแล้วใช้งานทันทีนั้น ลืมไปได้เลยครับ คุณต้องกลับมาที่บ้านก่อน จากนั้นก็ทำการต่อ Wi-Fi เพื่ออัพเดตตัว Fitbit​ Versa​ 2 ซึ่งระหว่างนี้ ให้หาหนังมาดูซักเรื่องรอเลยครับ : b

อนึ่ง ตัว Fitbit​ Versa​ 2 ที่รีวิวนี้ไม่ใช่รุ่นวางจำหน่ายจริง จึงไม่แน่ใจว่าจะเจอปัญหานี้เหมือนกันไหม หากเจอ ก็ขอให้เตรียมเวลาว่างแบบยาว ๆ เอาไว้เลย

หลังอัพเดตตัวเครื่องเรียบร้อยแล้ว ก็จะเข้าสู่หน้า Dashboard ดูสถานะและควบคุมการทำงานต่าง ๆ ของตัว Fitbit​ Versa​ 2 นี้อย่างเป็นทางการ

อย่างที่เกริ่นไป Fitbit​ Versa​ 2 คือ Smartwatch สาย Sport ตัวหนึ่ง ที่มาพร้อมหน้าจอสัมผัส เราสามารถใช้นิ้วปัดหน้าจอไปมาได้เหมือน ๆ กับสมาร์ทโฟน ซึ่งหากปัดซ้าย ก็จะเข้าสู่หน้าแอปฯ ต่าง ๆ ของ Fitbit​ Versa​ 2 โดยหลัก ๆ ก็มี Exercise , Timer Alarms , Spotify (ส่วนนี้มีเรื่องเล่า) , Relax Weather , Music และ Setting ถัดมาคือ Notification ดูแจ้งเตือนต่าง ๆ  

ในหน้าแสดงผลนาฬิกาของ Fitbit​ Versa​ 2 พอเป็น Smartwatch ก็สามารถเปลี่ยนรูปแบบการแสดงผลได้ไม่จำกัด เราสามารถโหลดรูปแบบการแสดงผลนาฬิกาได้จากทาง Fitbit​ ที่พัฒนาเอง หรือจากบุคคลที่สาม ซึ่งบอกตามตรง ของที่บุคคลที่สามพัฒนามีแต่สวย ๆ ทั้งนั้น แต่มีข้อสังเกตคือ บางดีไซน์ “มีค่าใช้จ่าย” เราสามารถโหลดมาทดลองใช้ได้วันเดียว จากนั้นก็ต้องเสียค่าออกแบบกันไป….

อนึ่ง ตัวหน้าแสดงผลนาฬิกาของ Fitbit​ Versa​ 2 ที่ใช้ในรีวิวนี้ โหลดจากหมวดหมู Free ที่ออกแบบโดยบุคคลที่สามเช่นกัน แต่ปล่อยให้โหลดใช้งานได้ฟรี ซึ่งก็มีหน้าแสดงผลนาฬิกาสวย ๆ ให้เลือกใช้อยู่ไม่น้อยเหมือนกันครับ

ส่วนหน้าตา Always-On Display ของ Fitbit​ Versa​ 2 หรือฟีเจอร์ช่วยแสดงผลหน้าจอตลอดเวลา ก็ตามนี้เลย ความแตกต่างของหน้าจอนี้กับหน้าจอแสดงผลนาฬิกาปกติคือ โหมด Always-On Display จะกินแบตฯ น้อยกว่า เพราะไม่ได้มีการแสดงผลอะไรมากนั้นเอง

หน้า Quick Settings หรือตั้งค่าแบบลัดของตัว Fitbit​ Versa​ 2

หากเราปัดหน้าจอจากล่างขึ้นบน ก็จะเป็นการเช็คกิจกรรมทั้งหมดในแต่ละวันว่า เราเดินกี่ก้าวแล้ว ตอนนี้มีอัตราการเต้นของหัวใจอยู่ที่เท่าไร และเช็คว่าเรามีกิจกรรมไหนบ้างที่ทำสำเร็จครบ 5 วัน หรือเราจะตั้งค่ารายละเอียดการแสดงผลส่วนนี้เองก็ได้

ส่องฟีเจอร์ Exercise หรือแอปฯ หลักตัวแรกของ Fitbit​ Versa​ 2 ที่หลายคนได้ใช้งานกันแน่นอน เมื่อเราเข้าสู่ตัว Exercise มันจะให้เลือกเลยว่า เรากำลังจะทำกิตกรรมอะไร อาทิ  Run, Bike, Swim, Treadmill, Weights, Interval Timer และ Workout

นับเป็นการรวมกิจกรรมการออกกำลังกายต่าง ๆ ที่มาพร้อมรูปประกอบดูเข้าใจง่ายมาก ๆ หากเราจะวิ่ง (Run) ก็กดเลือกที่ไอคอนรูปคนกำลังวิ่งได้เลย เพื่อเข้าสู่การตรวจจับและวัดผลการวิ่งของเรา โดยมันจะวัดทั้งการเต้นของหัวใจ ระยะก้าว ระยะกิโล และถ้าหากเปิด GPS ด้วย มันจะตรวจจับตำแหน่งที่เราวิ่ง พร้อมโชว์จุดที่เราวิ่งใน Map (ดูผ่านแอปฯ) ให้เห็นกันชัด ๆ

Spotify หรือควบคุมการฟังเพลงบน Fitbit​ Versa​ 2 คือเราสามารถกดควบคุมการฟังเพลงบน Spotify ผ่านตัว Fitbit​ Versa​ 2 ได้เลย แต่มีข้อแม้ว่า เราต้องมีบัญชี Spotify Premium เพราะมันจะให้เรา Log-in บัญชี Spotify ในแอปฯ Fitbit ก่อน ถึงจะใช้งานได้

อย่างไรก็ตาม ตัว Fitbit​ Versa​ 2 เองก็มี ROM หรือความจำในตัว สามารถเก็บเพลงและฟังเพลงแบบ Stand Alone ไม่ต้องผ่านสมาร์ทโฟนก็ได้ หากแต่ต้องมีหูฟังไร้สาย ถึงจะใช้งานร่วมกับตัว Fitbit​ Versa​ 2 ได้ 

ตามชื่อ Smartwatch ตัว Fitbit​ Versa​ 2 สามารถโหลดและติดตั้งแอปฯ เพิ่มเติมได้ ซึ่งก็มีตัวแอปฯ ให้โหลดพอประมาณ ตัวอย่างเช่น Flappy หรือเกม Flappy Bird ในตำนาน ที่เคยเป็นเกมดังบนสมาร์ทโฟน ทำให้ใครต่อใครต้องหัวร้อนกันมาแล้ว

เล่นเกม Flappy ผ่าน Fitbit​ Versa​ 2 !! (เล่นยากมากกกกก หัวร้อน x 10 เลยครับ….)

ประสิทธิภาพ

ตามสเปกคือ ตัว Fitbit​ Versa 2 จะมาพร้อม Heart Rate เซ็นเซอร์วัดการเต้นของหัวใจแบบ 24/7 หรือวัดตลอดเวลา Altimeter วัดระยะความสูง 3-Axis Accelerometer วัดความเร่ง 3 แกน และ Relative SpO2 sensor เซ็นเซอร์ตรวจวัดความอิ่มตัวของออกซิเจนในเลือดสัมพัทธ์

ลองวัดพร้อมเปิดโหมด Run ใน Exercise จากนั้นก็เปิดแอปฯ Fitbit ดูผลการวิ่งของเราอย่างละเอียด จุดนี้เอง ที่หากเราเปิด GPS ด้วย มันจะโชว์เป็น Map เผยระยะทางวิ่งของเราให้เห็นกันชัด ๆ สามารถดูได้เลยว่า เราวิ่งจากจุดไหนไปจุดไหนบ้าง วิ่งไปกี่กิโลเมตร ผลาญ Cals ไปได้เท่าไร อัตราการเต้นของหัวใจเป็นยังไงบ้าง โดยรวมสามารถวัดได้แม่นยำพอควรครับ 

ทั้งหมดทั้งมวลคือ ‘ตัวเลข’ ที่วัดจาก Fitbit​ Versa 2 ซึ่งเราสามารถเอามาดูเพื่อสร้างแรงบันดาลใจ ‘ให้เกิดความอยากทำอีกรอบ’ หรือ ‘อยากให้ตัวเลขออกมาดีกว่านี้’ เพื่อเอาไว้โชว์ให้คนอื่นเห็นได้ว่า เรากำลังมี Activity หรือการออกกำลังกายของตัวเองแล้วนะ

ลองเทสประสิทธิภาพ Sleep Score หรือการให้คะแนนการนอนหลับของเรา สำหรับการให้คะแนนนั้น ก็จะวัดจาก ระยะเวลาที่นอน กับ Sleep Stages หรือระดับการนอน เราหลับลึกแค่ไหน นานเท่าไร มีตื่นไปกี่ครั้ง และช่วงไหนบ้าง ยิ่งหลับได้ลึกและเป็นเวลานาน ก็ยิ่งได้คะแนนมาก ทำให้เราเกิดอยากรักษา Score การนอนหลับครั้งต่อ ๆ ไป

สำหรับตัว Fitbit​ Versa 2 ก็สามารถวัดการนอนของเราได้ชัดเจนและแม่นยำดี วัดจากการที่มันบอกว่า เรามีตื่นไปกี่ครั้ง ซึ่งผมจำได้ และมันก็บอกจำนวนได้ถูกต้องเลยครับ

สรุป

เป็นเวลาสองสัปดาห์ กับการส่วมใส่ Fitbit​ Versa 2 อุปกรณ์สร้างแรงบันดาลใจหรือ Smartwatch + Fitness Tracker ที่สามารถวัดสถานะและกิจกรรมในชีวิต อาทิ การเดิน วิ่ง หรือออกกำลังกาย โดยตีออกมาเป็นตัวเลขพร้อมกราฟ ให้เราดูแล้วนำไปพัฒนาต่อไป

ด้านดีไซน์ตัว Fitbit​ Versa 2 ก็พรี่เมี่ยมสมฐานะแล้ว และอาจเรียกได้ว่าเป็นการยกระดับจากรุ่นก่อนอย่าง Fitbit​ Versa ได้สมบูรณ์ขึ้นมาก จุดที่เคยบกพร่องอย่าง ซีพียูประมวลผลช้า ในรุ่น Fitbit​ Versa 2 ก็ปรับให้ประมวลผลไวขึ้น และยังใช้เวลาในการ Sync ข้อมูลระหว่างสมารทโฟนน้อยลงอย่างสังเกตได้

ประสิทธิภาพ ตัว Fitbit​ Versa 2 ก็มีการปรับปรุงเซ็นเซอร์การวัดให้แม่นยำขึ้น ส่งผลให้มีฟีเจอร์ใหม่ ๆ เพิ่มเข้ามาด้วย ช่วยทำให้ตัว Fitbit​ Versa 2 มีความน่าสนใจยิ่งขึ้น

ท้ายนี้ตัว Fitbit​ Versa 2 ก็เปิดราคาเริ่มต้นที่ 7,990 บาท ส่วนรุ่น Fitbit Versa 2 Special Edition ที่รีวิวนี้ ก็อยู่ที่ 8,990 บาท ครับ