รีวิว : Vivo V7+ กล้องหน้าชัด ฟีเจอร์เพียบ ในราคาไม่เกินเอื้อม

ในที่สุดก็มีโอกาสได้รีวิว Vivo V7+ สมาร์ทโฟนที่มาพร้อม หน้าอั้ม กล้องหน้าขนาด 24 ล้านพิกเซล เพื่อถ่ายเซลฟี่โดยเฉพาะ มาพร้อมหน้าจอ FullView ขนาด 5.99 นิ้ว ในราคาเพียงหมื่นต้น ๆ เท่านั้น

หลาย ๆ คนที่นั่ง MRT เป็นประจำนั้น น่าจะเห็นชินกับป้ายโฆษณาเจ้า Vivo V7 Plus หรือ Vivo V7+ ที่มีคุณอั้ม พัชราภา เป็น Brand Ambassador มายืนถือสมาร์ทโฟนรุ่นนี้ได้เด่นสะดุดตาเหลือเกิน โดยชูฟีเจอร์กล้องหน้า 24 ล้านพิกเซล พร้อมสโลแกน “Clearer Selfie” ถ่ายออกมาสวยเหมือนอั้มแน่นอน.. พอเห็นบ่อยเข้าก็เริ่มสนใจ ในที่สุดก็ไปคว้ามันมารีวิวจนได้ หลังลองจับได้สักพักก็พบว่า นอกจากกล้องหน้าแล้ว มันยังมีดีกว่าที่คิด !! ส่วนจะมีอะไรบ้าง และสมราคาหมื่นต้น ๆ ไหม มาดูกันครับ

รายละเอียดสเปก Vivo V7+

Display : หน้าจอ IPS LCD ขนาด 5.99 นิ้ว FullView ความละเอียด 1440×720 หรือ HD+ เคลือบกันรอยขีดข่วนด้วยกระจก Corning Gorilla Glass 4
CPU : Qualcomm Snapdragon 450 (Octa-core 1.8 GHz)
GPU : Adreno 506
RAM : 4 GB
ROM : 64 GB รองรับ SD Card 256 GB
Main Camera : 16 ล้านพิกเซล ใช้เซ็นเซอร์ขนาด 1/3 นิ้ว รูรับแสง F/2.0 รองรับการถ่ายวิดีโอ 1080p@30fps
Front Camera : 24 ล้านพิกเซล รูรับแสง F/2.0 มีไฟแฟลช Moonlight Glow และ Rear Flash ช่วยให้หน้าขาวผ่องใส ราวกับโบ๊ะแป้ง….
Connect : Wi-Fi 802.11 b/g/n, WiFi Direct, DLNA, hotspot, Bluetooth 4.2 และ 4G LTE
Battery : Li-Ion 3225 mAh
ขนาดตัวเครื่อง : 155.9 x 75.8 x 7.7 mm
น้ำหนัก : 160 g
ระบบปฏิบัติการ : Android 7.1.2 (Nougat) ครอบด้วย Funtouch OS 3.2
สีให้เลือก : Champagne Gold (ทอง), Matte Black (ดำ)

วัสดุและการออกแบบ

ตัวเครื่องที่ได้รีวิวนี้เป็นรุ่น Matte Black สีดำด้าน (อมม่วงนิด ๆ) ใช้พลาสติกทั้งตัว แต่ให้ความรู้สึกแข็งแรงทนทานไม่แพ้อลูมิเนียมเลย มีน้ำหนักอยู่บ้าง งานประกอบก็แน่นหนาพอควร

หน้าจอขนาด 5.99 นิ้วใหญ่สะใจมาก โดยการลดพื้นที่ขอบบนและล่างให้เป็นจอแสดงผลได้เต็มตาขึ้น ทว่ากลับส่งผลให้ตัวเครื่องดูยาวไปบ้าง แต่ก็ไม่เป็นปัญหาต่อการพกพา เพราะตัวเครื่องยังมีขนาดพอ ๆ กับสมาร์ทโฟนรุ่นจอ 5.5 นิ้ว แม้จะมีจอใหญ่เกือบ 6 นิ้วก็ตาม

อย่างไรก็ตาม แม้จะมีขนาดจอถึง 5.99 นิ้ว แต่ความละเอียดจอกลับอยู่ที่ HD+ เท่านั้น ทำให้การแสดงผลบางช่วง (โดยเฉพาะตอนเล่นเกมหรือดูหนัง) ดูไม่คมชัดเท่าที่ควรนัก

ตรงขอบจะมีเส้นสีเงินอยู่รอบตัวเครื่องด้วย พอเป็นรุ่นสีดำด้านก็ทำให้เห็นสีเงินชัดเจน ดูสวยงามทีเดียว

นอกจากเส้นสีเงินตรงขอบรอบตัวเครื่องแล้ว ตรงหัวท้ายก็ยังมีเส้นสีเงินอีก 2 เส้น ตัดขอบด้วยเหมือนกัน ส่วนกล้องหลังสังเกตได้ว่า มีขอบนูนออกมาเล็กน้อยไม่กลืนไปกับตัวเครื่อง ในขณะที่กล้องหน้าฝั่งเรียบติดใต้กระจก Corning Gorilla Glass 4 พร้อมเซ็นเซอร์วัดแสงข้างใต้ซึ่งดูสวยงามกว่า

พอร์ตเชื่อม micro USB พร้อมลำโพงและรูเสียบหูฟัง 3.5 mm

ส่องขอบตัว Vivo V7+ แบบชัด ๆ อีกรอบ สังเกตได้ว่าตัวขอบมีการเข้าโค้งแบบไร้รอยต่อเลยครับ

ท้ายนี้ตัวเครื่องมาพร้อมคำโฆษณาว่าไร้กรอบ แต่ลองจับจริงแล้วก็ยังมีอยู่บ้าง ไม่ไร้กรอบหรือไร้ขอบซะทีเดียว แต่ด้วยจอ FullView ในสัดส่วน 18:9 ก็ทำให้หน้าจอออกมาดูดีไม่น้อย

ซอฟต์แวร์

ตัวเครื่องมาพร้อม Android Nougat ที่ครอบด้วย Funtouch OS หน้าตาการเรียงแอพฯ และการใช้งานรวม ๆ ก็ตามนี้เลย

ส่วนใครที่มองหาแถบปิดเปิด Wifi, Bluetooth หรือโหมดลัดต่าง ๆ ต้องเลื่อนนิ้วจากข้างล่างนะครับ ส่วนข้างบนที่ชินกัน จะเป็นแถบแจ้งเตือน Notification ล้วน ๆ แทน

หน้าเมนูภายในสีขาวสะอาดตา (เปลี่ยนธีมอื่นได้) ตามสไตล์ Funtouch OS

ฟีเจอร์อัจฉริยะ

มาถึงส่วนสารพัดฟีเจอร์ของ Vivo V7+ ตัวนี้แล้ว อย่างที่เกริ่นไป ตัวเครื่องนอกจากจะเด่นเรื่องกล้องหน้าแล้ว ก็ยังมีฟีเจอร์หรือลูกเล่นต่าง ๆ มากมายไม่น้อย โดยผมได้คัดเอาส่วนที่น่าจะใช้กันบ่อย ๆ อย่าง

สแกนใบหน้าปลดล็อคเครื่อง แม้การทำงานจะไม่ซับซ้อนเท่า iPhone X หรือ Samsung Note 8 ที่มีความปลอดภัยกว่าค่อนข้างมาก แต่ตัว Vivo V7+ ก็สามารถทำหน้าที่นี้ได้ดีพอตัว จากที่รู้มาคือ ตัวเครื่องมันจะสแกนโครงหน้าของเราในระดับหนึ่ง หลังเราสแกนใบหน้าตัวเองแล้ว ตอนเปิดเครื่องมันจะปลดล็อคทันทีที่เห็นหน้าเรา ต้องบอกเลยว่าทำได้รวดเร็วมาก ๆ ใช้เวลาไม่ถึงวินาทีด้วยซ้ำ โดยต่อให้หลับตามันก็ปลดล็อคเหมือนกัน แต่พอลองใส่ผ้าปิดปาก ตัวเครื่องสแกนไม่ได้นะเออ

การใช้งานอัจฉริยะ ฟีเจอร์ที่รวมเอาการเรียกใช้งานเมนูลัดแบบล้ำ ๆ อาทิ

  • Smart wake วาดนิ้วบนหน้าจอเพื่อเรียกใช้แอพฯ ตามที่เราตั้งค่า
  • ใช้งานโดยไม่สัมผัส ประมาณว่าเราเอามือมาโบกหน้าจอตัวเครื่องโดยไม่สัมผัส มันจะปลดล็อคเครื่องให้เราได้ด้วย
  • เปิด/ปิดหน้าจอแบบอัจฉริยะ ใช้นิ้วเคาะจอ 2 ครั้งเพื่อเปิด/ปิด หรือยกตัวเครื่องเพื่อเปิดหน้าจออัตโนมัติ
  • การโทรอัจฉริยะ หากเรายกตัวเครื่องแนบหูเมื่อไร เราสามารถตั้งค่าให้มันโทรออกอัตโนมัติ รับสายอัตโนมัติได้เป็นต้น

ด้วยจอขนาด 5.99 นิ้ว ก็ทำให้ Vivo V7+ ได้ยัดฟีเจอร์ใช้งานสองจอหรือแยกหน้าจอเข้ามาด้วย เหมาะสำหรับใครที่ต้องการเรียกใช้สองแอพฯพร้อม ๆ กันในหน้าเดียว ไม่ต้องปิดทีละแอพฯ อีกต่อไป

ปืดส่วนนี้ด้วยฟีเจอร์ “โหมดเกม” ใครที่เคยมีปัญหาเล่นเกมแล้วอยู่ดี ๆ มีคนโทรเข้ากลางคัน ทำให้เกมหลุดจังหวะหรือเกม Over กันเลย ปัญหานี้ก็แก้ด้วยฟีเจอร์นี้เอง โดยมันจะให้เราเลือกได้ว่า จะปฏิเสธสาย หรือถ้าเราใส่หูฟังพร้อมไมค์ เราก็คุยขณะที่เล่นเกมไปด้วยก็ได้ คือมีการคุยสายเข้ามา แต่เกมยังดำเนินอยู่

ประสิทธิภาพ

หน่วยประมวลผลหลักของ Vivo V7+ คือ Qualcomm Snapdragon 450 ซึ่งแม้จะเป็น Octa-core แต่ซีพียูตัวนี้จัดเป็นรุ่นล่าง ๆ ไม่ได้แรงมากนัก แต่เมื่อลองเทสเกม Blades and Rings กับ Realm of Valor (RoV) ก็พบว่าเล่นได้ลื่นอยู่ แต่มีฉากที่โหลดเอพเฟคเยอะ ๆ ก็มี fps ร่วงเหมือนกัน ทั้งนี้เคยลองโหลดเกม Mobius Final Fantasy ที่เค้าว่าภาพสวยมากมาเล่นดูด้วย ก็ต้องตกใจเมื่อภาพในเกมที่แตกกระจาย… เหมือนตัวเกมมันปรับภาพกราฟฟิกให้อยู่ระดับ Low อัตโนมัติเลยยังไงยังงั้น

เทสเกม Mobius Final Fantasy

ถัดจากเกมก็ต่อที่วิดีโอ จุดนี้บอกเลยว่า “เสียดาย” คือจอมันรองรับความละเอียดสูงสุดที่ 720p แต่มีขนาดหน้าจอถึง 5.99 นิ้ว เราสามารถขยายให้มันแสดงผลเต็มจอแบบไม่มีขอบได้ตามภาพ ซึ่งก็ออกมาสวยกว่าที่คิด เพราะงั้นหากจอมันรองรับละเอียดสูงสุดที่ 1080p นะ คงเป็นอะไรที่อลังการแน่นอน

อีกจุดขายที่ Vivo V7+ มีคือ ชิปเสียง Hi-Fi (AK4376A) ในตอนแรกผมลองใช้หูฟังตัวถูก ๆ มาเทสผ่านแอพฯ Joox ก่อน ก็พบว่าเสียงออกมาดีเกินคาด จากนั้นเลยลองเปลี่ยนมาใช้หูฟังตัวโหดของผม ผลคือ Fin~ เสียงแจ่มมาก

กล้องหลัง

มาถึงจุดเด่นหลักของ Vivo V7+ กันแล้ว เริ่มแรกมาดูที่กล้องหลังกันก่อน ที่มาพร้อมความละเอียด 16 ล้านพิกเซล ส่วนหน้า UI ควบคุมกล้อง กับคุณภาพเป็นไงนั้น ตามนี้เลยครับ

ในหน้า UI ควบคุม (จากแอพฯ กล้องติดเครื่อง) ก็มาพร้อมโหมดถ่ายภาพต่าง ๆ มากมาย เรียกใช้ง่าย ไม่ค่อยยุ่งยาก แบ่งเป็น 7 โหมดหลัก ๆ คือ

  • ถ่ายภาพ โหมดอัตโนมัติ (Auto) เหมาะสำหรับถ่ายรูปทั่วไป
  • พาโนรามา ถ่ายภาพมุมกว้าง
  • ใบหน้าสวย ถ่ายภาพบุคคล พร้อมปรับแต่งโทนสีผิว ปรับขาว และผิวนวล
  • บันทึกวิดีโอ ถ่ายวิดีโอ ความละเอียดสูงสุด 1080p@30fps
  • ภาพถ่ายมืออาชีพ โหมดถ่ายภาพแบบโปร ปรับแต่งทุกอย่างเอง
  • PPT ถ่ายพวกเอกสาร ให้เห็นตัวหนังสือชัดขึ้น
  • ภาพต่อเนื่อง เอาช็อตเด็ดจากวิดีโอ มาแปลงเป็นภาพถ่าย
  • Ultra HD ถ่ายภาพความละเอียดสูง ใช้ซอฟต์แวร์ช่วยเพิ่มความละเอียดได้ถึง 64 ล้านพิกเซล
  • ภาพเคลื่อนไหวช้า ถ่ายวิดีโอโซโลโมชั่น ความละเอียดสูงสุด 480P

ตัวอย่างภาพถ่ายจากกล้องหลัง (Auto)

(ภาพบนนี้เป็นไฟล์เต็มนะ ไม่ย่อ)

กล้องหน้า

กล้องหน้าความละเอียดถึง 24 ล้านพิกเซล หากเป็นเมื่อก่อน สาว ๆ หลายคนคงไม่ค่อยชอบนัก (เพราะเห็นความจริงมากเกินไป…) แต่สำหรับ Vivo V7+ แล้ว “มันคือกล้องเปลี่ยนใบหน้า” ตัวหนึ่งเลยครับ ซึ่งจุดเด่นของกล้องหน้าคือ มีเซ็นเซอร์แบบพิเศษ ช่วยปรับแต่งใบหน้าให้ดูดีโดยอัตโนมัติ ยังไม่ทันเปิดแฟลช Moonlight Glow และ Rear Flash อะไรเลย โดยผลก็ตามนี้

หน้าการปรับแต่งกล้องหน้าก็จะเหมือน ๆ กับกล้องหลังทุกประการ

ตัวอย่างภาพถ่ายจากกล้องหน้า

เนื่องจากสาว ๆ ที่นัดไว้คิวแน่น เอาหน้าผมไปก่อนละกันครับ ฮ่า ฮ่า

สรุป

หลังลองเทสอะไรไปพอสมควรแล้ว สำหรับผมเจ้า Vivo V7+ ตัวนี้ ก็ถือเป็นสมาร์ทโฟนมากความสามารถตัวหนึ่งเลย อย่างพวกฟีเจอร์อัจฉริยะต่าง ๆ ระบบสแกนใบหน้าที่รวดเร็วมาก และชิปเสียง Hi-Fi ที่แจ่มเอาเรื่อง จุดพวกนี้ถือเป็นอะไรที่คาดไม่ถึงจริง ๆ ส่วนฟีเจอร์หลักอย่างหน้าจอขนาด 5.99 นิ้ว ในสัดสวน 18:9 ตรงนี้หากไม่ติดความละเอียดที่ 720p แทนที่จะเป็น 1080p จะเป็อะไรที่ดีงามกว่านี้มาก ส่วนกล้อง ถ้าเป็นกล้องหลังยังไม่ค่อยว้าวเท่าไรนัก แต่กล้องหน้า เนียนจริง ขาวจริง เปลี่ยนหน้าผี (ผมเอง..) ให้เป็นหน้าคนได้ !! ตรงนี้ยอมใจ มันเกิดมาเพื่อเซลฟี้จริง ๆ สำหรับสเปก Snapdragon 450 ถือว่าเพียงพอต่อการใช้งานทั่วไป แต่ยังไม่สู้พวกแอพฯ หรือเกมที่ใช้กราฟฟิกหนัก ๆ มากนัก (ยังดีที่ไม่กักแรมกับรอม) สุดท้ายนี้ราคาค่าตัว Vivo V7+ อยู่ที่ 11,990 บาท ครับ

ข้อดี

  • กล้องหน้าดีงามมาก
  • การสแกนหน้าทำงานได้รวดเร็ว
  • หน้าจอใหญ่เต็มตา
  • ฟีเจอร์ครบครันพอตัว
  • งานประกอบทนทาน
  • ชิปเสียง Hi-Fi แจ่มแมว
  • แบตฯ อึด

ข้อสังเกต

  • ไม่มีพอร์ต USB Type-C
  • จอขนาด 5.99 นิ้ว แต่ความละเอียด HD
  • ตัวเครื่องไม่รองรับคลื่น 5 GHz
  • ใช้ชิป Snapdragon 450 ยังไม่แรงมากนัก
  • กล้องหลังคุณภาพธรรมดา