จับตา 3 เทคโนโลยีเปลี่ยนโลก กู้วิกฤตสิ่งแวดล้อม

เทคโนโลยีเปลี่ยนโลก

ยุคที่โลกกำลังเผชิญกับข่าวสิ่งแวดล้อมที่น่ากังวล และดูเหมือนจะขาดทางออกที่ชัดเจน รายงานฉบับใหม่จาก World Economic Forum (WEF) และ Frontiers ได้ทำให้เราเห็นถึงแสงสว่าง ด้วยการเปิดตัว 10 นวัตกรรมเทคโนโลยีที่จะเป็น ตัวเร่งสำคัญในการต่อสู้กับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ, ฟื้นฟูระบบนิเวศ และขับเคลื่อนโลกไปสู่นวัตกรรมที่ยั่งยืน

ต้องยอมรับว่า ปัจจุบัน ไม่มีเทคโนโลยีใดเทคโนโลยีหนึ่งที่จะแก้ปัญหาทั้งหมดได้ แต่ชุดเทคโนโลยีเหล่านี้ จะช่วยให้เราสามารถเปลี่ยนแปลงเศรษฐกิจโลกให้อยู่รอดภายใต้ขอบเขตความปลอดภัยของโลกได้

ในรายงานได้มีการไฮไลท์เทคโนโลยีที่น่าสนใจ โดยเราขอสรุป 3 เทคโนโลยีเด่นมาให้ดูกันครับ

3 เทคโนโลยีเด่นที่น่าจับตามอง

1. AI + การสำรวจโลก  ใช้จับตาโลกแบบเรียลไทม์

ลืมภาพถ่ายดาวเทียมความละเอียดต่ำแบบเก่าไปไปเลย เทคโนโลยีนี้คือการใช้ AI วิเคราะห์ข้อมูล ที่รวบรวมจากทั้งดาวเทียม, โดรน และเซ็นเซอร์ภาคพื้นดิน เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่แม่นยำระดับเมตร หรือละเอียดกว่า และข้อมูลที่ได้นั้น เกือบเรียลไทม์

ทำไมถึงเจ๋ง

มันช่วยให้เราติดตามผลกระทบจากฝีมือมนุษย์ได้ทันท่วงที ทำให้เห็นปัญหาชัดเจน เช่น น้ำท่วม, ภัยแล้ง, การตัดไม้ทำลายป่า หรือการเปลี่ยนแปลงการใช้ที่ดิน นอกจากนี้ยังช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการเกษตรแม่นยำ และเป็นระบบเตือนภัยพิบัติล่วงหน้าได้ดีขึ้นมาก

2. ระบบคัดแยกขยะอาหารอัตโนมัติ 

เทคโนโลยีนี้ใช้ AI ควบคู่กับเซนเซอร์เซอร์อินฟราเรด และแขนกลหุ่นยนต์ เพื่อคัดแยกเศษอาหารออกจากขยะอื่นๆ เช่น พลาสติก โดยอัตโนมัติ

ทำไมถึงเจ๋ง

ลดก๊าซมีเทน เมื่อเศษอาหารถูกนำไปฝังกลบ มันจะย่อยสลายแบบไร้อากาศและปล่อยก๊าซมีเทน ซึ่งเป็นตัวการที่ทำโลกร้อนที่รุนแรง ระบบนี้จะช่วยแยกมันออกมา
เศษอาหารที่แยกได้สามารถนำไปทำปุ๋ยหมักคุณภาพสูง หรือนำไปผลิตไบโอแก๊ส คืนสารอาหารกลับสู่ดิน ลดการใช้ปุ๋ยเคมี

เทคโนโลยีดังกล่าว สามารถลดการใช้แรงงานคนในการคัดแยกด้วยมือที่ทั้งหนักและเสี่ยงต่อสุขภาพ โดยกรุงโซล เกาหลีใต้ สามารถใช้ระบบนี้จัดการขยะอาหารได้ถึง 95%

3. คอนกรีตสีเขียว

คอนกรีตคือวัสดุก่อสร้างที่ถูกใช้มากที่สุดในโลก แต่กระบวนการผลิตปูนซีเมนต์พอร์ตแลนด์ กลับปล่อย CO2 มากถึง 8% ของการปล่อย CO2 ทั่วโลก

ทำไมถึงเจ๋ง 

คอนกรีตสีเขียวคือเทคโนโลยีที่ ไม่ใช้ปูนซีเมนต์พอร์ตแลนด์ แต่ใช้สารยึดเกาะที่มาจากของเสียอุตสาหกรรม หรือเศษวัสดุก่อสร้างเหลือทิ้งแทน

โดยกระบวนการบ่ม ของคอนกรีตสีเขียวบางชนิด ยังสามารถ อัด CO2 ที่ดักจับมาได้ เข้าไปในเนื้อคอนกรีต ทำให้มันกลายเป็นที่เก็บคาร์บอนถาวรในโครงสร้างอาคาร แถมยังลดการขุดทรายที่ทำลายระบบนิเวศอีกด้วย

นอกจาก 3 เทคโนโลยีข้างต้น รายงานดังลกล่าว ยังพูดถึงอีก 7 นวัตกรรมสำคัญคือ

  1. Precision Fermentation หรือการหมักที่แม่นยำสูง ใช้จุลินทรีย์สร้างโปรตีนทางเลือก (เช่น เนื้อ, นม) โดยไม่ต้องใช้สัตว์
  2. Green Ammonia หรือ แอมโมเนียสีเขียว การผลิตแอมโมเนีย ซึ่งส่วนประกอบหลักของปุ๋ย โดยปราศจากคาร์บอน
  3. Methane Capture หรือ การดักจับและใช้ประโยชน์จากมีเทน เปลี่ยนก๊าซเรือนกระจกตัวร้ายให้กลายเป็นทรัพยากรที่มีค่า
  4. Next-gen Bi-direction Charging การชาร์จไฟแบบสองทิศทาง ทำให้แบตเตอรี่ เช่น ในรถ EV สามารถจ่ายไฟกลับเข้าสู่ระบบโครงข่ายไฟฟ้าหรือบ้านได้อย่างยืดหยุ่น
  5. Modular Geothermal พลังงานความร้อนใต้พิภพแบบโมดูลาร์ เป็นระบบผลิตไฟฟ้าและความร้อนจากใต้พิภพที่ปรับขนาดได้ง่าย ติดตั้งได้เร็วขึ้น
  6. Regeneration Desalination หรือการแยกเกลือออกจากน้ำแบบฟื้นฟู ซึ่งเป็นกระบวนการผลิตน้ำจืดที่สามารถกู้แร่ธาตุ รวมถึงทรัพยากรอื่น ๆ ที่สูญเสียไปกลับมาได้
  7. Soil Health Technology เทคโนโลยีฟื้นฟูดิน มีการใช้เซ็นเซอร์, จุลินทรีย์ และ AI เพื่อฟื้นฟูสุขภาพของดินให้กลับมาอุดมสมบูรณ์

จะสังเกตเห็นว่า AI เป็นส่วนประกอบสำคัญในหลายๆ เทคโนโลยีเหล่านี้ แต่ WEF ก็ชี้ให้เห็นว่า AI เองก็มีต้นทุนที่ต้องนำมาพิจารณาด้วยเหมือกัน

Jeremy Jurgens จาก WEF ตั้งข้อสังเกตว่า การสร้าง Data Center เพื่อขับเคลื่อน AI นั้น ต้องการพลังงาน, น้ำ และการสนับสนุนจากชุมชน

อย่างไรก็ตาม ในขณะเดียวกัน AI ก็สามารถช่วยให้กระบวนการอื่นๆ มีประสิทธิภาพ สูงขึ้นมาก เช่น การจัดการพลังงานในการขนส่ง, การระบายความร้อน, การผลิต, การเพิ่มผลผลิตเกษตร หรือการติดตามการลักลอบตัดไม้

กุญแจสำคัญคือการผนวกรวมประเด็นด้านสิ่งแวดล้อมเข้าไปในการพัฒนา AI ตั้งแต่เริ่มต้น เพื่อให้แน่ใจว่านวัตกรรมที่สร้างขึ้นนั้นเป็นนวัตกรรมที่ยั่งยืนอย่างแท้จริง

ที่มา

Report identifies ten emerging tech solutions to enhance planetary health